โดยปกติวงชีวิตของหนอนไหม ซึ่งเริ่มตั้งแต่ไข่จนเป็นผีเสื้อ ใช้เวลาประมาณ ๔๕-๕๒ วัน
หลังจากแม่ผีเสื้อวางไข่แล้ว ไข่จะเจริญเติบโตเรื่อยๆจนมีอายุได้ ๘ วันจะเริ่มมีจุดสีดำเกิดขึ้นก่อน ต่อมาจุดดำนี้จะขยายตัวจนทำให้ไข่เปลี่ยนเป็นสีดำอมเทา ประมาณวันที่ ๑๐หนอนไหมก็จะฟักออกจากไข่
ปกติหนอนไหมจะฟักออกตอนเช้า หลังจากฟักแล้วไม่ควรเกิน ๓ ชั่วโมง จะต้องให้อาหารโดยหั่นใบหม่อนเป็นชิ้นเล็กๆให้กิน ไข่ที่ยังไม่ฟักจะเก็บไว้โดยห่อกระดาษสีดำ เพื่อเปิดให้ฟักพร้อมๆกันในวันรุ่งขึ้น เมื่อฟักแล้วควรแยกเลี้ยงไว้ต่างหาก ไม่ควรนำไปเลี้ยงปนกับหนอนไหมที่ฟักก่อนในกระด้งเดียวกัน
การให้อาหาร
แม้ว่าการให้อาหารบ่อยครั้งจะทำให้ไหมโตเร็วก็ตาม แต่ไม่สะดวกกับผู้เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน จึงควรให้อาหารวันละ ๓ เวลา คือ ๐๖.๓๐ น. ๑๑.๓๐ น. และ ๑๗.๐๐ น.ใบหม่อนซึ่งให้หนอนไหมในวัยอ่อน (วัย ๑-๓) ต้องหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนใบหม่อนที่ให้หนอนไหมที่เจริญเติบโตเป็นวัยแก่(วัย ๔-๕) นั้นให้ทั้งใบได้เลย
ตัวหนอนไหมเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าอากาศร้อน(๓๐ องศาเซลเซียส) ก็ยิ่งโตเร็ว ถ้าอากาศหนาวเย็นหรือร้อนเกินไปจะโตช้า และไม่แข็งแรง เมื่อมีอายุ ๓-๔ วัน หนอนไหมจะหยุดกินอาหาร อยู่เฉยๆ ประมาณ ๑ วัน จึงลอกคราบใหม่ ระยะนี้เรียกว่า "ไหมนอน" เมื่อลอกคราบหมด แล้วก็จะเริ่มกินอาหารต่อไป ตัวและหัวใหญ่ขึ้น ระยะนี้เรียกว่า "ไหมตื่น" โดยทั่วๆไปหนอนไหมจะนอน (ลอกคราบ) ๔ ครั้ง ก็จะขึ้นวัย ๕ กินอาหารจุจนอายุได้ ๗-๘ วัน ก็จะเริ่มหยุดกินอาหาร ลำตัวมีสีขาวหรือเหลืองใสหดสั้นลง ซึ่งเป็นระยะที่หนอนเติบโตเต็มที่แล้วเรียกว่า "ไหมสุก" เริ่มพ่นใยออกมาจากปากเพื่อทำรัง ถ้าพบอาการเช่นนี้ ควรเก็บไหมใส่ในจ่อเพื่อให้ไหมทำรังต่อไป หนอนไหมจะเสียเวลาในการชักใยทำรังอยู่ ๒ วัน ก็จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นดักแด้ และเมื่ออยู่ในรังได้ครบ ๑๐ วัน ก็จะเจาะรังออกมาเป็นผีเสื้อ ไหมที่จะใช้ทำพันธุ์จะต้องคัดรังที่ดีสมบูรณ์ขนาดใหญ่ไว้ต่างหาก ที่เหลือก็นำไปสาว หรือขายให้โรงงานสาวไหมต่อไป รังที่ผีเสื้อไหมเจาะออกแล้ว เส้นใยจะขาด ใช้สาวเป็นเส้นไม่ได้
ผีเสื้อไหมบินไม่ได้ เพราะปีกเล็กไม่สมกับลำตัวที่ใหญ่จะไม่กินอาหารเลย ตัวผู้มีหน้าที่ผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียเมื่อได้ผสมพันธุ์แล้ว ก็จะวางไข่ แล้วก็ตายไปเมื่ออายุได้ประมาณ ๒-๓วัน
หนอนไหม
หนอนไหมแต่ละตัวเมื่อโตเต็มที่แล้วก็จะขับของเหลวชนิดหนึ่งประกอบด้วยสารที่โปร่งแสง ไม่มีสี ๒ ชนิดด้วยกันจากต่อมไหม ออกมาทางต่อมน้ำลาย ๒ ต่อมที่อยู่คนละด้านขนานกันทางส่วนหัวของหนอนไหม ต่อมน้ำลายแต่ละต่อมมีชื่อเฉพาะคือ "aqueduct" หรือ "collector" ต่อมหนึ่งและ"spinning" อีกต่อมหนึ่ง สำหรับต่อม aqueduct นั้นใหญ่กว่าต่อม spinning เมื่อหนอนจะชักใยมันจะขับของเหลวจากถุงในต่อม aqueduct ออกทาง spinning head หรือspinneret ซึ่งเป็นช่องเล็กๆ ผ่านออกสู่ภายนอกที่ช่องใช้ขากรรไกร ของเหลวดังกล่าวเมื่อถูกอากาศจะแข็งตัวทันทีกลายเป็นสายใย ซึ่งเรียกว่า"สายไหม" เป็นที่น่าสังเกตว่า เส้นไหมที่ได้นั้นประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ ๒ เส้นรวมกันเรียกว่า bave ซึ่งแต่ละเส้นเรียกว่าbrin สามารถแยกออกจากกันได้ ในรังไหมแต่ละรังขนาดของสายไหมก็แตกต่างกันไป กล่าวคือ ชั้นนอกสุดของรัง เส้นไหมละเอียดกว่าชั้นกลางซึ่งค่อนข้างหยาบ แต่ชั้นในสุดกลับละเอียดยิ่งกว่าชั้นนอกเสียอีก เส้นไหมที่ได้จากไหมที่เลี้ยงในประเทศจีน ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นไหมชั้นนอกวัดได้ประมาณ ๐.๐๐๐๕๒ นิ้ว ส่วนชั้นในสุดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๐.๐๐๐๑๗ นิ้ว แต่กระนั้นก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่นๆ เส้นไหมก็ยังมีขนาดใหญ่กว่า สำหรับน้ำหนักก็เช่นกัน ใยไหมหนักกว่าใยของโลหะที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากันเสียด้วย หนอนไหมแต่ละตัวชักใยได้ยาวไม่เท่ากัน มันสามารถชักใยที่สาวออกแล้วได้ยาวตั้งแต่ ๓๕๐ -๑,๒๐๐ เมตร ซึ่งแล้วแต่พันธุ์ไหม
หลักปฏิบัติที่สำคัญในการเลี้ยงไหม
๑. หมั่นรักษาความสะอาดในห้องเลี้ยงไหม และอุปกรณ์ เพราะไหมเป็นสัตว์ที่สะอาดมาก
๒. ห้ามสูบบุหรี่ในห้องเลี้ยงไหมโดยเด็ดขาด
๓. ไม่เผาสิ่งปฏิกูลหรือเศษขยะในบริเวณใกล้เคียงห้องเลี้ยงไหม ขณะที่มีไหมอยู่ในห้อง เพราะไหมไม่ชอบควันไฟหรือกลิ่นเหม็น
๔. ใบหม่อนต้องมีคุณภาพดี สะอาด และมีปริมาณเพียงพอ
๕. ให้อาหารตรงตามวัยของไหม หนอนไหมยิ่งโตก็ให้ใบหม่อนที่แก่ขึ้น
๖. ไม่ควรเลี้ยงไหมแน่นจนเกินไป เนื้อที่ ๘๕ x๑๐๐ เซนติเมตร ควรเลี้ยงไหมวัยแก่ประมาณ ๕๐๐ ตัว
๗. ถ่ายมูลหรือกากใบหม่อนที่ตกค้างทับถมในกระด้งเลี้ยงอย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่ไหมจะเข้านอนทุกครั้ง
๘. เมื่อไหมนอนควรเปิดหน้าต่างให้ลมโกรก อากาศแห้งไหมจะลอกคราบง่าย และไม่ควรให้ตัวไหมได้รับการกระทบกระเทือน
๙. อย่าให้อาหารขณะที่ไหมนอน
๑๐. อุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงแล้วและยังไม่ใช้ควรแยกไว้ต่างหาก ที่ใช้แล้วควรนำออกมาล้าง แล้วผึ่งแดดเป็นระยะๆ แล้วจึงค่อยนำเข้าไปใช้ใหม่
๑๑. ควรเลี้ยงไหมเป็นรุ่นๆ เพื่อให้คนเลี้ยงมีเวลาพักและทำความสะอาดโรงเลี้ยงและอุปกรณ์ ซึ่งได้แก่ กล้องจุล-ทรรศน์และน้ำยาเคมีต่างๆ เป็นต้น
๑๒. ไม่ควรผลิตไข่ไหมเอง เพราะเสียค่าใช้จ่ายสูงในการตรวจโรคเพบริน (pebrin)
๑๓. ห้ามนำสารเคมีฆ่าแมลง และสารมีกลิ่นเข้าห้องเลี้ยงไหม โดยเด็ดขาด