วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

วิธีการเลี้ยงไหม




  โดยปกติวงชีวิตของหนอนไหม    ซึ่งเริ่มตั้งแต่ไข่จนเป็นผีเสื้อ   ใช้เวลาประมาณ ๔๕-๕๒ วัน
          หลังจากแม่ผีเสื้อวางไข่แล้ว  ไข่จะเจริญเติบโตเรื่อยๆจนมีอายุได้  ๘  วันจะเริ่มมีจุดสีดำเกิดขึ้นก่อน ต่อมาจุดดำนี้จะขยายตัวจนทำให้ไข่เปลี่ยนเป็นสีดำอมเทา ประมาณวันที่ ๑๐หนอนไหมก็จะฟักออกจากไข่
          ปกติหนอนไหมจะฟักออกตอนเช้า  หลังจากฟักแล้วไม่ควรเกิน  ๓ ชั่วโมง จะต้องให้อาหารโดยหั่นใบหม่อนเป็นชิ้นเล็กๆให้กิน ไข่ที่ยังไม่ฟักจะเก็บไว้โดยห่อกระดาษสีดำ เพื่อเปิดให้ฟักพร้อมๆกันในวันรุ่งขึ้น   เมื่อฟักแล้วควรแยกเลี้ยงไว้ต่างหาก ไม่ควรนำไปเลี้ยงปนกับหนอนไหมที่ฟักก่อนในกระด้งเดียวกัน


การให้อาหาร

        แม้ว่าการให้อาหารบ่อยครั้งจะทำให้ไหมโตเร็วก็ตาม แต่ไม่สะดวกกับผู้เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน  จึงควรให้อาหารวันละ  ๓  เวลา  คือ  ๐๖.๓๐ น. ๑๑.๓๐ น. และ ๑๗.๐๐ น.ใบหม่อนซึ่งให้หนอนไหมในวัยอ่อน  (วัย  ๑-๓)  ต้องหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนใบหม่อนที่ให้หนอนไหมที่เจริญเติบโตเป็นวัยแก่(วัย ๔-๕) นั้นให้ทั้งใบได้เลย

          ตัวหนอนไหมเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว  ถ้าอากาศร้อน(๓๐ องศาเซลเซียส) ก็ยิ่งโตเร็ว  ถ้าอากาศหนาวเย็นหรือร้อนเกินไปจะโตช้า และไม่แข็งแรง  เมื่อมีอายุ  ๓-๔ วัน หนอนไหมจะหยุดกินอาหาร อยู่เฉยๆ ประมาณ ๑ วัน  จึงลอกคราบใหม่ ระยะนี้เรียกว่า "ไหมนอน"   เมื่อลอกคราบหมด แล้วก็จะเริ่มกินอาหารต่อไป  ตัวและหัวใหญ่ขึ้น  ระยะนี้เรียกว่า "ไหมตื่น" โดยทั่วๆไปหนอนไหมจะนอน (ลอกคราบ) ๔ ครั้ง ก็จะขึ้นวัย ๕ กินอาหารจุจนอายุได้ ๗-๘ วัน ก็จะเริ่มหยุดกินอาหาร    ลำตัวมีสีขาวหรือเหลืองใสหดสั้นลง  ซึ่งเป็นระยะที่หนอนเติบโตเต็มที่แล้วเรียกว่า "ไหมสุก"  เริ่มพ่นใยออกมาจากปากเพื่อทำรัง  ถ้าพบอาการเช่นนี้  ควรเก็บไหมใส่ในจ่อเพื่อให้ไหมทำรังต่อไป หนอนไหมจะเสียเวลาในการชักใยทำรังอยู่ ๒ วัน  ก็จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นดักแด้ และเมื่ออยู่ในรังได้ครบ ๑๐ วัน ก็จะเจาะรังออกมาเป็นผีเสื้อ ไหมที่จะใช้ทำพันธุ์จะต้องคัดรังที่ดีสมบูรณ์ขนาดใหญ่ไว้ต่างหาก ที่เหลือก็นำไปสาว หรือขายให้โรงงานสาวไหมต่อไป   รังที่ผีเสื้อไหมเจาะออกแล้ว   เส้นใยจะขาด  ใช้สาวเป็นเส้นไม่ได้

          ผีเสื้อไหมบินไม่ได้   เพราะปีกเล็กไม่สมกับลำตัวที่ใหญ่จะไม่กินอาหารเลย   ตัวผู้มีหน้าที่ผสมพันธุ์  ส่วนตัวเมียเมื่อได้ผสมพันธุ์แล้ว ก็จะวางไข่  แล้วก็ตายไปเมื่ออายุได้ประมาณ ๒-๓วัน



หนอนไหม
 
          หนอนไหมแต่ละตัวเมื่อโตเต็มที่แล้วก็จะขับของเหลวชนิดหนึ่งประกอบด้วยสารที่โปร่งแสง  ไม่มีสี  ๒ ชนิดด้วยกันจากต่อมไหม ออกมาทางต่อมน้ำลาย  ๒  ต่อมที่อยู่คนละด้านขนานกันทางส่วนหัวของหนอนไหม   ต่อมน้ำลายแต่ละต่อมมีชื่อเฉพาะคือ  "aqueduct" หรือ "collector" ต่อมหนึ่งและ"spinning"   อีกต่อมหนึ่ง   สำหรับต่อม   aqueduct นั้นใหญ่กว่าต่อม spinning เมื่อหนอนจะชักใยมันจะขับของเหลวจากถุงในต่อม aqueduct ออกทาง spinning  head  หรือspinneret ซึ่งเป็นช่องเล็กๆ  ผ่านออกสู่ภายนอกที่ช่องใช้ขากรรไกร ของเหลวดังกล่าวเมื่อถูกอากาศจะแข็งตัวทันทีกลายเป็นสายใย  ซึ่งเรียกว่า"สายไหม"  เป็นที่น่าสังเกตว่า      เส้นไหมที่ได้นั้นประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ ๒ เส้นรวมกันเรียกว่า bave   ซึ่งแต่ละเส้นเรียกว่าbrin  สามารถแยกออกจากกันได้  ในรังไหมแต่ละรังขนาดของสายไหมก็แตกต่างกันไป  กล่าวคือ  ชั้นนอกสุดของรัง เส้นไหมละเอียดกว่าชั้นกลางซึ่งค่อนข้างหยาบ  แต่ชั้นในสุดกลับละเอียดยิ่งกว่าชั้นนอกเสียอีก    เส้นไหมที่ได้จากไหมที่เลี้ยงในประเทศจีน   ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นไหมชั้นนอกวัดได้ประมาณ  ๐.๐๐๐๕๒  นิ้ว   ส่วนชั้นในสุดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๐.๐๐๐๑๗ นิ้ว   แต่กระนั้นก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่นๆ  เส้นไหมก็ยังมีขนาดใหญ่กว่า สำหรับน้ำหนักก็เช่นกัน ใยไหมหนักกว่าใยของโลหะที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากันเสียด้วย    หนอนไหมแต่ละตัวชักใยได้ยาวไม่เท่ากัน  มันสามารถชักใยที่สาวออกแล้วได้ยาวตั้งแต่ ๓๕๐ -๑,๒๐๐ เมตร ซึ่งแล้วแต่พันธุ์ไหม



หลักปฏิบัติที่สำคัญในการเลี้ยงไหม

          ๑. หมั่นรักษาความสะอาดในห้องเลี้ยงไหม และอุปกรณ์ เพราะไหมเป็นสัตว์ที่สะอาดมาก
          ๒. ห้ามสูบบุหรี่ในห้องเลี้ยงไหมโดยเด็ดขาด
          ๓. ไม่เผาสิ่งปฏิกูลหรือเศษขยะในบริเวณใกล้เคียงห้องเลี้ยงไหม ขณะที่มีไหมอยู่ในห้อง เพราะไหมไม่ชอบควันไฟหรือกลิ่นเหม็น
          ๔. ใบหม่อนต้องมีคุณภาพดี สะอาด และมีปริมาณเพียงพอ
          ๕. ให้อาหารตรงตามวัยของไหม หนอนไหมยิ่งโตก็ให้ใบหม่อนที่แก่ขึ้น
          ๖. ไม่ควรเลี้ยงไหมแน่นจนเกินไป เนื้อที่ ๘๕ x๑๐๐ เซนติเมตร ควรเลี้ยงไหมวัยแก่ประมาณ ๕๐๐ ตัว
          ๗. ถ่ายมูลหรือกากใบหม่อนที่ตกค้างทับถมในกระด้งเลี้ยงอย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่ไหมจะเข้านอนทุกครั้ง
          ๘. เมื่อไหมนอนควรเปิดหน้าต่างให้ลมโกรก อากาศแห้งไหมจะลอกคราบง่าย     และไม่ควรให้ตัวไหมได้รับการกระทบกระเทือน
          ๙. อย่าให้อาหารขณะที่ไหมนอน
          ๑๐. อุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงแล้วและยังไม่ใช้ควรแยกไว้ต่างหาก ที่ใช้แล้วควรนำออกมาล้าง แล้วผึ่งแดดเป็นระยะๆ แล้วจึงค่อยนำเข้าไปใช้ใหม่
          ๑๑.  ควรเลี้ยงไหมเป็นรุ่นๆ เพื่อให้คนเลี้ยงมีเวลาพักและทำความสะอาดโรงเลี้ยงและอุปกรณ์    ซึ่งได้แก่   กล้องจุล-ทรรศน์และน้ำยาเคมีต่างๆ   เป็นต้น
          ๑๒. ไม่ควรผลิตไข่ไหมเอง เพราะเสียค่าใช้จ่ายสูงในการตรวจโรคเพบริน (pebrin)
          ๑๓.  ห้ามนำสารเคมีฆ่าแมลง และสารมีกลิ่นเข้าห้องเลี้ยงไหม โดยเด็ดขาด







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น