วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เครือหมาน้อย







ชื่อสมุนไพร
เครือหมาน้อย
ชื่ออื่นๆ
กรุงเขมา (กลาง นครศรีธรรมราช) หมอน้อย (อุบลราชธานี)ก้นปิด (ตะวันตกเฉียงใต้) ขงเขมา พระพาย (ภาคกลาง) เปล้าเลือด (แม่ฮ่องสอน) สีฟัน (เพชรบุรี)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cissampelos pareira L. var. hirsuta (Buch. ex DC.) Forman.
ชื่อพ้อง
Cissampelos poilanei Gagnep.
ชื่อวงศ์
Menispermaceae 



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
    เป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อไม้แข็ง มีขนนุ่มสั้นปกคลุมหนาแน่นตามเถา กิ่ง ช่อดอก และใบ ไม่มีมือเกาะ มีรากสะสมอาหารใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยว มีหลายรูป เช่น รูปหัวใจ รูปกลม รูปไต หรือรูปไข่กว้าง ก้นใบปิด ออกแบบสลับ กว้าง 4.5-12 เซนติเมตร ยาว 4.5-11 เซนติเมตร ปลายใบส่วนมากมนหรือเรียวแหลม โคนใบกลมตัด หรือเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ เนื้อบางคล้ายกระดาษ มีขนนุ่มสั้นกระจาย ทั้งหลังใบ และท้องใบ ใบเมื่อยังอ่อนจะมีขนอ่อนนุ่มปกคลุมอยู่ทั้งสองด้าน และตามขอบใบ แต่จะร่วงไปเมื่อใบแก่ เส้นใบออกจากโคนใบรูปฝ่ามือ ก้านใบยาว 2-9 เซนติเมตร ขนนุ่มสั้น หรือเกือบเกลี้ยง ติดที่โคนใบห่างจากขอบใบขึ้นมา 1-18 มิลลิเมตร ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งหนามดอกออกเป็นช่อกระจุกสีขาว ขนาดเล็กประมาณ 0.2-0.5 มิลลิเมตร ดอกแยกเพศ และอยู่ต่างต้นกัน เรียงแบบช่อเชิงหลั่น มีขนาดเล็ก แต่ละช่อกระจุกมีก้านช่อดอกยาว 2-4 เซนติเมตร มีขนนุ่มสั้น ออกกระจุกเดี่ยวๆหรือ 2-3 กระจุกในหนึ่งช่อ ช่อดอกเพศผู้ ออกตามง่ามใบ ก้านช่อกระจุกแตกแขนง ยืดยาว ประกอบด้วยกระจุกดอกอยู่ตามง่ามใบประดับ ใบประดับรูปกลม และขยายใหญ่ขึ้น ดอกเพศผู้ สีเขียวหรือสีเหลือง มีก้านดอกย่อยยาว 1-2 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ รูปไข่กลับ ยาว 1.25-1.5 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนยาวห่าง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ยาวประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนประปราย เกสรเพศผู้เชื่อมติดกัน อับเรณูยาว 0.75 มิลลิเมตร ช่อดอกเพศเมีย เป็นช่อคล้ายช่อกระจุกแยกแขนง ทรงแคบ ยาวถึง 18 เซนติเมตร ประกอบด้วยช่อดอกที่เป็นกระจุกติดแบบคล้ายเป็นช่อกระจะ แต่ละกระจุกอยู่ในง่ามของใบประดับ ใบประดับรูปกลม เมื่อขยายใหญ่ขึ้นยาวถึง 1.5 เซนติเมตร มีขนประปรายหรือขนยาวนุ่ม ดอกเพศเมีย มีก้านดอกย่อยยาว 1-1.5 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงมี 1 กลีบ รูปไข่กลับกว้าง ยาว 1.5 มิลลิเมตร กลีบดอกมี 1 กลีบ รูปไข่กลับกว้าง ยาว 0.75 มิลลิเมตร โคนสอบแคบไม่มีเกสรเพศผู้ปลอม เกสรเพศเมียมี 1 อัน ขนาดประมาณ 0.5 มิลลิเมตร มีขนยาวห่าง ก้านเกสรเพศเมียเกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 พู กางออก ผลสด มีก้านอวบใหญ่ ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร สีส้ม ผลทรงกลมรีอยู่ตรงปลาย เมื่อสุกสีน้ำตาลแดง เมล็ดโค้งงอรูปพระจันทร์ครึ่งซีก ผิวขรุขระ มีรอยแผลเป็นของก้านเกสรเพศเมียติดอยู่ด้านข้าง มีขนสั้นนุ่ม ผนังผลชั้นในรูปไข่กลับ ยาว 5 มิลลิเมตร ด้านบนมีสันขวาง 9-11 สัน เรียงเป็น 2 แถว ชัดเจน ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดหรือเหง้า พบในป่าดิบ ป่าผลัดใบ และป่าไผ่ ตามริมแม่น้ำลำธาร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงธันวาคม เถาและใบคั้นเอาน้ำเมื่อผสมกับเครื่องปรุงอาหาร จะมีลักษณะเป็นวุ้น รับประทานเป็นอาหาร




สรรพคุณ    
ส่วนเหนือดิน เป็นยาแก้ร้อนใน แก้โรคตับ ราก มีกลิ่นหอม รสสุขุม ใช้แก้ไข้ แก้ดีรั่ว ดีล้น ดีซ่าน เป็นยาขับปัสสาวะ ยาถ่าย แก้ไข้มาลาเรีย ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ยาอายุวัฒนะ ยาช่วยย่อย แก้ท้องร่วง บวมน้ำ แก้ไอ ขัดเบา กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และใช้ในรายถูกงูกัด เป็นยาลดไข้ แก้ปวดท้อง โรคหนองใน ราก รสหอมเย็นสุขุม แก้ไข้ แก้ดีรั่ว ดีซ่าน เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงอวัยวะเพศให้แข็งแรง แก้ลม โลหิต กำเดา แก้โรคตา ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ ใช้เคี้ยว แก้ปวดท้อง และโรคบิด ระบายนิ่ว แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไอเจ็บหน้าอก เป็นยาขับเหงื่อ ยาขับระดู ยาบำรุง ยาสงบประสาท ยาขับน้ำเหลืองเสีย ยาสมาน รากและใบ พอกเป็นยาเฉพาะที่ แก้โรคผิวหนัง หิด ลำต้นดับพิษไข้ทุกชนิด บำรุงโลหิตสตรี เป็นยาพอกแก้ตาอักเสบ เนื้อไม้ แก้โรคปอด และโรคโลหิตจาง ใบ แก้ร้อนใน พอกแผล ฝี แก้แผลมะเร็ง แก้หืด ใช้ทาภายนอกแก้หิด

องค์ประกอบทางเคมี    
ราก พบแอลคาลอยด์ปริมาณสูง เช่น hyatine, hyatinine, sepurine, beburine, cissampeline, pelosine นอกจากนี้ยังพบ quercitol, sterol  แอลคาลอยด์ hyatine มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและลดความดันโลหิต (ฤทธิ์เทียบเท่ากับ d-tubercurarine ที่ได้จากยางน่อง)  cissampeline แสดงฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์ ใบมีสารพวกเพคติน เมื่อขยำใบกับน้ำ เมื่อทิ้งไว้จะแข็งตัวเป็นวุ้น





วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ภาวะท้องผูกกับมะขามแขก




          ภาวะท้องผูก ซึ่งจัดเป็นอาการที่เกิดกับระบบทางเดินอาหาร เกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย สำหรับรายที่มีอาการท้องผูกเล็กน้อย คงไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาในการรักษาแต่อย่างใด แต่หากมีอาการท้องผูกมากขึ้น และเป็นประจำ การใช้ยา ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม  ท้องผูกจัดเป็นอาการ มิใช่เป็นชื่อของโรค การจะทราบว่าใครมีภาวะท้องผูกบ้าง อาจดูได้จากอาการต่อไปนี้ คือ ต้องเบ่งอุจจาระมากกว่าร้อยละ 25 ของการขับถ่ายทั้งหมดหรือการมีภาวะอุจจาระแข็ง ถ่ายอุจจาระไม่หมด รู้สึกตุงบริเวณทวารหนัก หรือต้องใช้นิ้วล้วงทวารหนักเพื่อช่วยการขับถ่ายและสุดท้าย คือ จำนวนการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากเกิดอาการข้างต้นมากกว่า 2 อาการ ถือว่ามีภาวะท้องผูก


สาเหตุการเกิดอาการท้องผูก อาจเกิดได้จาก 
มีความผิดปกติทางกายภาพ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติทางสรีระหรือโรคของสำไส้ รูทวาร ไขสันหลัง ความผิดปกติของเส้นประสาทที่ควบคุมการถ่าย การอุดตันของสำไส้ มะเร็งลำไส้ หรือพบร่วมกับโรคของระบบอื่น เช่น ภาวะการมีฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ และการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายความกังวล ยารักษาโรคจิต และอาการซึมเศร้า เป็นต้น ท้องผูกโดยไม่มีความผิดปกติทางกายภาพ เป็นอาการท้องผูกที่พบในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคสาเหตุอาจเกิดได้จาก อุปนิสัยการขับถ่าย ความเป็นอยู่ หรือจากสิ่งแวดล้อม อารมณ์และจิตใจก็ได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากน้อย ดื่มน้ำน้อย การขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น หรือแม้แต่การกลั้นอุจจาระเนื่องจากความรีบร้อนในการทำงาน ทำให้ละเลยต่อการปวดถ่าย 





  การรักษาอาการท้องผูก    

การรักษาโดยไม่ใช้ยา กรณีภาวะที่มีอาการท้องผูกไม่รุนแรง อาการหายไปโดยไม่ต้องใช้ยาได้ ซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้ 
1. ควรรับประทานอาหารที่มีกาก เช่น ผักต่าง ๆ และ ดื่มน้ำมาก ๆ 
2.พยายามปรับสภาพชีวิตประจำวันให้มีการออกกำลังกายให้มากขึ้น เช่นลดการใช้ลิฟท์หรือบันไดเลื่อนแล้วใช้การเดินแทน หรือการเดินแทนการขึ้นรถในระยะทางใกล้ๆ 
3.บริหารร่างกายส่วนที่ให้ผลโดยตรงต่อกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพราะจะช่วยให้ขับถ่ายได้เป็นปกติและเป็นเวลา เช่น การให้นอนราบ เอามือวางบนอก เกร็งกล้ามเนื้อให้พยุงตัวขึ้นนั่ง โดยพยายามอย่างอเข่า หรือยกเท้า ทำซ้ำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง หรือ ให้นอนราบ เอามือวางบนอก เกร็งกล้ามเนื้อท้องให้สามารถยกขาขึ้น เหนือพื้นโดยเหยียดขาให้ตรง ทำซ้ำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง 

 การรักษาโดยการใช้ยา 

        เมื่อเกิดภาวะท้องผูกและมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา ควรใช้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควร ใช้ ติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะยากลุ่มที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดยา และการเกิดกลุ่มอาการท้องผูกสลับท้องเสีย (Irritable Bowel Syndrome) ซึ่งจะทำให้การทำงานของลำไส้ใหญ่ ลดลงมากกว่าปกติ เยื่อเมือกบุผนังลำไส้เหี่ยวผิดปกติ กล้ามเนื้อใต้เยื่อบุผิวลำไส้หนามากขึ้น ปมประสาทเสื่อม และเกิดการสูญเสียโปรตีนทางลำไส้ได้ 

        ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulants) มีอยู่หลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มไดฟีนีลมีเทน (Diphenylmethanes), น้ำมันละหุ่ง (Castor Oil), กลุ่มแอนตี้โคลีนเอสเทอเรส (Anticholinesterases), ยาเหน็บกลีเซอรีน (Glycerin), กลุ่มแอนทราซีนไกลโคไซด์ (Anthracene Glycosides) (อ้างอิงที่ 1) หนึ่งในยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ที่รู้จักกันดี คือมะขามแขกซึ่งเป็นยาในกลุ่ม แอนทราซีนไกลโคไซด์ (Anthracene Glycosides)






        มะขามแขก มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษคือ Senna มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Senna alexandrina P. Miller หรือCassia angustifolia มีประวัติการนำมาใช้เป็นยาระบายมานานเกือบ 100 ปี ในใบและฝักมะขามแขก มีสารที่ชื่อ แอนทราควิโนน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ถ่ายท้องได้ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากรองรับ 

สรรพคุณของมะขามแขก 

        1. ด้านสารสำคัญในการออกฤทธิ์เป็นยาถ่าย 
        มีการศึกษาพบฤทธิ์เป็นยาถ่าย สารที่ออกฤทธิ์ คือ sennoside A และ B, aloe emodin, dianthrone glycoside ซึ่งเป็น anthraquinone glycoside สาร anthraquinone glycoside จะยังไม่มีฤทธิ์เพิ่มการขับถ่ายเมื่อผ่านลำไส้เล็ก เมื่อผ่านเข้าไปในลำไส้ใหญ่ Sennoside A จึงถูก hydrolyze ได้ sennoside A-8-monoglucoside และถูก hydrolyzed โดย bata-glycosidase จากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ และอุจจาระได้แก่ Bacillus, E. Coli ได้ sennidin A ส่วน sennoside B ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยกระบวนการเช่นเดียวกันได้ sennidin B ทั้ง sennidin A & B จะเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ และถูกเปลี่ยนต่อไปเป็น rheinanthrone ซึ่งออกฤทธิ์ต่อลำไส้ส่วน colon โดยตรง สารสำคัญนี้จะกระตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทซึ่งอยู่ใต้ชั้น Submucosa ทำให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ 

        2. ฤทธิ์ในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ 
         มีผู้พบฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ใหญ่ และมีการศึกษาในอาสาสมัคร 12 คน โดยให้ดื่มชาชงมะขามแขก เปรียบเทียบกับการรับประทานยา erythromycin จากนั้นทำการถ่ายภาพลำไส้ใหญ่ด้วยวิธี Magnetic Resonance Imaging (MRI) ก่อนและหลังได้รับชาชงหรือยา พบว่ากลุ่มที่ได้รับชาชงมะขามแขกจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วน colon มีการเคลื่อนไหวมากกว่ากลุ่มที่ได้รับ erythromycin อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 

        3. การทดลองทางคลินิกสำหรับใช้รักษาอาการท้องผูก 
        มีการศึกษาในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ที่มีอาการท้องผูกจำนวน 92 คน อายุระหว่าง 43-82 ปี โดยให้ผู้ป่วย 61 คน รับประทานยาแคลเซียมเซนโนไซด์ ซึ่งเป็นแคลเซียมฟอร์มของเซนโนไซด์จากใบมะขามแขกที่ใช้เป็นยาระบาย ขนาดเม็ดละ 15 มก. 2 เม็ด ก่อนนอนทุกคืน หลังผ่าตัดในวันที่ 1 และให้รับประทานติดต่อกันจนถึงวันที่ 7 หลังการผ่าตัด และคนไข้อีก 31 คน เป็นกลุ่มควบคุม ไม่ได้รับยาระบายใดๆ พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยาแคลเซียมเซนโนไซด์ ถ่ายอุจจาระคล่องตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 4 หลังรับประทานยา คิดเป็นร้อยละ 90 การถ่ายอุจจาระเฉลี่ยวันละ 1.23 ครั้ง/คน ส่วนกลุ่มควบคุมมีเพียงร้อยละ 19 เท่านั้น ที่ถ่ายอุจจาระคล่อง สัดส่วนของการถ่ายอุจจาระคล่องในผู้ป่วยที่รับประทานยาแคลเซียมเซนโนไซด์มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

          นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก จำนวน 81 ราย อายุระหว่าง 52-86 ปี โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มควบคุม ซึ่งไม่ได้รับยา กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ได้รับยาเม็ดมะขามแขก 2 เม็ด ก่อนนอนทุกคืน หลังผ่าตัดในวันที่ 1 ติดต่อกันนาน 14 วัน กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ได้รับยาระบาย Milk of Magnesia (MOM) 30 มล. ก่อนนอน นาน 14 วัน จากนั้นทำการบันทึกลักษณะอุจจาระ และจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ พบว่าสัดส่วนของผู้ที่มีอาการท้องผูกและท้องเสียมีความแตกต่างกันระหว่าง 3 กลุ่ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลุ่มควบคุมถ่ายอุจจาระไปทางแข็งที่ไม่พึงประสงค์มากกว่าอื่น ส่วนกลุ่ม MOM ถ่ายไปในทางเหลวและน้ำมากกว่ากลุ่มอื่น จากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าการใช้ยาเม็ดมะขามแขกในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก จะช่วยให้การถ่ายอุจจาระในลักษณะที่พึงประสงค์ (ปกติและเหลว) ได้ดีกว่าการใช้ยา MOM 

         มีการทดลองทางคลีนิคเพิ่มเติมโดยให้มารดาที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรกินมะขามแขก พบว่าใช้ได้ผลดี และไม่มีผลกระทบไปถึงทารก



วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เต่าญี่ปุ่นหรือเต่าแก้มแดง







เต่าแก้มแดง หรือที่นิยมเรียกกันว่า เต่าญี่ปุ่น (อังกฤษRed-eared slider) เป็นเต่าน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trachemys scripta elegans มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำแถบรัฐอิลลินอยส์แม่น้ำมิสซิสซิปปี ไปจนถึงอ่าวเม็กซิโก เหตุที่ได้ชื่อว่า เต่าญี่ปุ่นเพราะว่าในประเทศไทย พ่อค้าชาวญี่ปุ่นเป็นบุคคลแรกที่นำเต่าชนิดนี้มาขาย จึงทำให้ได้ชื่อว่า เต่าญี่ปุ่น
ลักษณะเมื่อแรกเกิด กระดองจะเป็นสีีเขียวมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนไปเป็นสีคล้ำ เท้าทั้ง 4 ข้างมีพังผืดใช้ว่ายน้ำได้ดี มีจุดเด่นคือ รอบ ๆ ดวงตามีสีแดง จึงทำให้ได้ชื่อว่า เต่าแก้มแดง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต โดยที่ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียเล็กน้อย กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ ผสมพันธุ์กันในน้ำระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน จากนั้นในเดือนสิงหาคม ตัวเมียจะขึ้นมาวางไข่ในหาดทราย ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 60-75 วัน อายุเมื่อพร้อมที่จะผสมพันธุ์ประมาณ 2 ปี และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 30 ปี
เต่าแก้มแดง นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลินมาก ในประเทศไทยมีการเลี้ยงกันมานานกว่า 30 ปี ได้รับความนิยมอย่างยิ่งเนื่องจากความน่ารักในเต่าขนาดเล็กประกอบกับมีราคาถูก แต่ทว่าก็ได้กลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เนื่องจากเมื่อเต่าโตขึ้นแล้วไม่สวยน่ารักเหมือนอย่างเก่า เจ้าของจึงนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เนื่องจากสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี และยังทนทานต่อมลภาวะได้ดีกว่าเต่าพื้นเมือง ทำให้แพร่ขยายพันธุ์แย่งอาหารและถิ่นที่อยู่ของเต่าพื้นเมืองไทย

วิธีเลี้ยงเต่าญี่ปุ่น เทคนิควิธีง่ายๆในการเลี้ยงเต่าญี่ปุ่นไม่ให้ป่วย


1 เริ่มจากที่เลี้ยงจะต้องไม่ใช่ห้องแอร์ และโดนแสงแดดส่องทุกๆวัน แสงแดด สำคัญต่อสัตว์เลื้อยคลานมากๆครับ เพราะแสงแดดจะกระตุ้นให้มีการผลิต วิตามินD3 ซึ่งวิตามินD3นี้จะช่วยให้เต่าสามารถดูดซึมแคลเซี่ยมจากอาหารที่ กินเข้าไปได้ครับแค่นี้จะหมดปัญหาเต่ากระดองนิ่มตายได้แล้ว นอกจากนี้แสง แดดยังช่วยเรื่องการป้องกันการขาดวิตามินA ถ้าขาดเต่าจะตาปิดและบวมถ้าปล่อย ให้ถึงขึ้นนี้แล้วทำใจไว้ด้วยเลยนะครับ
2 เต่าญี่ปุ่นกินเนื้อเป็นหลัก(อย่าคิดว่าเต่ากินเต่าผักบุ้ง) ควรให้อาหาร ที่เป็นเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อกุ้ง เนื้อปลา ไส้เดือน หนอนนก หรือแม้แต่ อาหารเม็ดของปลาดุกที่โปรตีนสูงๆก็สามารถใช้ได้ดีครับ สำหรับอาหารสำเร็จ รูปของเต่าเม็ดเขียวๆยาวๆถึงราคาจะแพงแต่คุณภาพห่วยสิ้นดีครับ ไม่ต้องซื้อ มาให้เต่ากินหรอกครับ สารอาหารมันน้อยไป เราสามารถเสริมผักให้เต่ากินได้ บ้าง แต่มันกินไม่มากหรอกครับ แค่แทะๆเล่นเท่านั้น
3 ควรมีการเปลี่ยนน้ำบ่อยๆเพราะเต่าชอบถ่ายใส่น้ำและน้ำเสียเร็วมาก ถ้า ปล่อยให้หมักหมมเต่าอาจเป็นรโรคผิวหนังจากแบคทีเรียได้ครับ
4 เวลาเต่าลอกคราบจะเห็นเป็นเมือกๆขาวๆตามคอและขา เต่ามันจะกินคราบของมัน เองไม่ต้องกังวล


แยกเพศด้วยการสังเกตตาเปล่า
มีจุดให้สังเกตดังนี้  จุดแรก  เล็บที่ขาหน้า  เต่าตัวผู้จะมีเล็บยาวมากกว่าในตัวเมีย  ด้วยเพราะต้องใช้ในการเกาะด้านข้างของกระดองตัวเมียเพื่อการผสมพันธุ์  จุดที่สอง  รูปทรงกระดอง  เมื่อนำมาวางเปรียบเทียบกัน  จะพบว่ากระดองของเต่าตัวเมียจะมีขนาดใหญ่และกว้างกว่าตัวผู้  เพราะต้องคอยรับการขึ้นขี่หลังของตัวผู้ระหว่างขั้นตอนการผสมพันธุ์  จุดสุดท้าย  หางของเต่าตัวผู้จะยาวและเรียวกว่าเต่าตัวเมียมาก  

การเตรียมสถานที่เลี้ยง  เราทราบแล้วว่าเขาเป็นเต่าน้ำมาจากแม่น้ำมิสซิสซิปปี้  ก็ควรจะเลี้ยงในสภาพกึ่งธรรมชาติ  เพราะเต่าต้องการพื้นที่ว่ายน้ำ , พื้นที่สำหรับขึ้นมากินอาหารบวกกับการพักผ่อนบนบก  และพื้นที่สำหรับการขึ้นมาตากแดดเพื่อสุขภาพที่ดี  กระผมขอแนะนำให้ใช้ตู้เลี้ยงปลาหรือบ่อธรรมชาติกลางแจ้ง  ที่มีพื้นที่แห้งและบ่อน้ำขนาดเล็ก  แต่ต้องเพียงพอรองรับการเติบโตในอนาตคได้ด้วย  เพราะเต่าแก้มแดงเมื่อโตเต็มที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกระดองไม่ต่ำกว่า ๓๐ เซนติเมตรหรือ ๑ ฟุตทีเดียว  ส่วนความสูงของขอบบ่อหรือตู้ปลาก็ไม่ควรจะต่ำกว่า ๓๐ เซนติเมตร  เพราะเต่าแก้มแดงปีนเก่งมาก



โรคภัยไข้เจ็บและความผิดปกติต่าง ๆ ที่พบได้บ่อยในเต่าแก้มแดง


ตาเจ็บและบวม  จากภาวะขาดวิตามิน เอ  พบได้บ่อย ๆ ในเต่าแก้มแดงอายุน้อยที่เราเพิ่งซื้อมาเลี้ยงได้ประมาณ ๓ – ๔ เดือน  และให้กินแต่อาหารเม็ดเท่านั้น  เต่าจะใช้วิตามินเอซึ่งสะสมอยู่ในตับจนหมด  โดยเต่าจะซึมไม่ค่อยกินอาหาร  จากนั้นตาก็จะเริ่มบวมปิด  พบฝ้าขาวในช่องปาก  ไม่ค่อยเคลื่อนไหวหรือว่ายน้ำ ท่านเจ้าของกรุณานำเจ้าเต่าน้อยไปพบสัตวแพทย์  เพื่อทำการฉีดวิตามินให้สัปดาห์ละครั้ง  ติดต่อกันสัก ๒ -๓ สัปดาห์ก็จะดีขึ้น  ส่วนการป้องกันทำได้โดยผสมวิตามิน เอ ชนิดแคปซูลลงไปในอาหารเม็ดสำหรับเต่าบ้าง  หรือบางท่านก็ให้ตับต้มกับเต่าเป็นอาหารเสริม


จุดหนองสีเหลืองกระจายตามตัว  ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด  ภาวะนี้ก็เช่นเดียวกันที่พบในเต่าเล็ก  ส่วนใหญ่พบหลังเพิ่งซื้อมาไม่เกินหนึ่งเดือน  เต่าจะไม่กินอาหาร , นอนซึม ,ไม่ว่ายน้ำ , มีจุดหนองสีเหลืองกระจายตามตัวยกเว้นส่วนกระดอง  ต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน  เพราะมีหลายตัวที่มารักษาไม่ทันเสียชีวิตไปเสียก่อน  สาเหตุเกิดจากการเลี้ยงเต่าที่แออัดเกินไป , น้ำที่ใช้เลี้ยงสกปรก  รวมถึงการให้อาหารที่ไม่ถูกต้องด้วย


เนื้อตัวบวมออกมาจากกระดอง เพราะได้รับโปรตีนมากเกินไป  หลาย ๆ ท่านคงเคยพบภาวะนี้  แต่เรามักคิดว่าเต่าอ้วน  ซึ่งความจริงแล้ว  ไอ้ที่ป่อง ๆ ออกมานั้นมิใช่ไขมัน  แต่เป็นของเหลวใส  อันเนื่องมาจากภาวะท้องมานและไตวาย  โดยปกติการให้อาหารจำพวกโปรตีนแก่เต่าเล็ก ๆ นั้นเป็นเรื่องดี  แต่บางครั้งมันมากเกินไปจนทำให้ไตทำงานหนักเกินไปจนสูญเสียหน้าที่ได้  ซึ่งภาวะนี้เกิดขึ้นได้ง่ายแต่แก้ไขได้ยาก
   
กระดองบิดผิดรูป  มาจากการขาดแคลเซียมและแสงแดด  ท่านทราบหรือไม่ว่าองค์ประกอบของการสร้างกระดองและโครงกระดูกของเต่านั้น  ประกอบด้วย  แคลเซี่ยมที่เพียงพอจากอาหาร , วิตามินดีที่เพียงพอและแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ  ถ้าองค์ประกอบดังกล่าวเหล่านี้ขาดหรือบกพร่องไป  ก็จะส่งผลอย่างแน่นอน  ดังเช่นหลายท่าน  เลี้ยงเต่าแก้มแดงไว้ในห้องหรืออยู่แต่ภายในบ้าน  และก็ให้อาหารเม็ดแต่อย่างดียว  นำไปตากแดดบ้างบางครั้ง  เต่าก็สามารถเติบโตได้  แต่รูปทรงกระดองก็จะไม่สวยงามตามสายพันธุ์  ส่วนใหญ่จะพบว่าขอบกระดองบิดขึ้นด้านบน , แขนขาโค้งงอ  บางตัวถึงขั้นกระดองบิดจนกระดูกสันหลังบิดไปด้วย  สองขาหลังจึงใช้ไม่ได้และเป็นอัมพาตในที่สุด  ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกัน  ด้วยการให้อาหารที่ถูกต้องและนำเต่ามาตากแดดอย่างสม่ำเสมอ  โดยเราจะสังเกตว่า  เต่าที่เลี้ยงในบ่อกลางแจ้งจะไม่พบปัญหานี้เลย
       
กัดทะเลาะกันเป็นแผลตามตัว  อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติ  แต่ส่งผลถึงขนาดของสถานที่เลี้ยงว่าไม่เพียงพอต่อจำนวนเต่าหรือคับแคบเกินไปนั่นเอง  ส่วนแผลต่าง ๆ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์นะ



วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พลังแห่งหินสี






หินสี สำหรับปีเกิด หินจักรราศี เพื่อเป็นมงคลแห่งชีวิต
"หิน" ถ้าเป็นสมัยในอดีต อาจจะบอกว่า..แทนความหนักแน่น แต่มาถึงยุคนี้ หิน มีความหมายมากกว่านั้น  "หิน"  เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล เป็นเสมือนขุมพลังของผู้สวมใส่ ที่วันใดเมื่อเจ้าตัวมีพลังเหลือเฟือ จะส่งไปกักเก็บอยู่ภายในหิน ต่อเมื่อถึงคราวที่อ่อนเปรี้ยะเพลียแรง หรือเครียด  พลังจากหินจะส่งกลับมาให้ผู้สวมใส่
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า พลังจากหินสามารถช่วยบำบัดรักษาโรคได้อีกด้วย โดยบางคนอาจจะมองว่า  เพราะคนในยุคนี้ขาดที่พึ่งทางใจ จึงเพียรหาอะไรที่สามารถเป็นที่พักพิงให้กับจิตใจที่กำลังอ่อนแอ สับสนวุ่นวาย หรืออย่างน้อยก็ช่วยสร้างความอุ่นใจให้กับตน และถ้าจะว่ากันตามหลักการ เรื่องนี้ก็มีเหตุผลรองรับอยู่ อย่างในศาสตร์ของจีนโบราณ ก็มีการใช้หินเพื่อการบำบัดโรคมานานแล้ว หรือในอียิปต์โบราณ กรีก และประเทศในเอเชียตะวันออกหลายแห่ง ก็มีหลักฐานแสดงถึงการนำหินมาใช้ในการรักษาโรค โดยมีหลักฐานเก่าแก่ที่กล่าวอ้างถึงการรักษาสุขภาพ ปรากฏอยู่บนกระดาษปาปิรุสของอียิปต์ที่มีอายุราว 1,500 ปีก่อนคริสตกาล โดยเขียนถึงการรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีวิธีการใช้หินและรัตนชาติเพื่อการบำบัดอยู่ด้วยรวมทั้งการใช้หินเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของเครื่องสำอาง เช่น พระนางคลีโอพัตราที่นิยมนำหินสีเขียวมาบดละเอียดทำเครื่องสำอางเปลือกหิน  แต่การจะเลือกซื้อหินชนิดไหน อย่างไรนั้น ก็มีหลักการอยู่เช่นกัน ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับชนิดและสีของหินด้วย อาทิ

 "หินสีเขียว"เชื่อกันว่านอกจากจะทำให้จิตใจสงบ นอนหลับสบาย ยังช่วยลดระดับ             คอเลสเตอรอล
          "สีน้ำเงิน" ให้ความสดชื่น ร่าเริง
          "สีขาว" ลดความวิตกกังวล ช่วยให้การทำงานของไตมีความสมดุล
          "สีแดง" ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
          "สีเหลือง" เสริมภูมิคุ้มกัน
          "สีดำ" ลดอาการเจ็บปวด  



ผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์ของหินและลูกปัด เล่าให้ฟังว่า หินนั้นถือเป็นสิ่งมีค่ามาแต่สมัยโบราณ และใช้เป็นเครื่องบรรณาการมาแต่อดีต "เวลาที่ฝรั่งพูดถึง "หิน" จะหมายรวมไปถึงเพชรด้วย แต่คนไทยมักจะแบ่งลักษณะความมีค่าเป็นหินรัตนชาติ และความนิยม ซึ่งความนิยมของหินจะขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศเปรู จะนิยมหินสีดำที่ได้จากพื้นดินที่ดำสนิทเท่านั้น ซึ่งหมายถึงความมั่นคงของประเทศชาติ
ลักษณะของหินที่ว่าจะคล้าย กับหินภูเขาไฟ ยิ่งมีรูพรุน มีการกัดเซาะของน้ำ-ลม ยิ่งสื่อถึงความแข็งแกร่งของวัฒนธรรมของเขา ส่วนใหญ่จะใช้ในการรักษาโรค รวมทั้งเป็นเครื่องประดับ
หรืออย่างในมลรัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา จะมองว่าเทอร์คอยซ์เป็นผืนฟ้าของเขา จึงนับถือเป็นที่สุด"
แต่ครั้งโบราณกาล หิน..เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานภาพของผู้สวมใส่ว่าอยู่ในระดับใด อย่างที่ประเทศธิเบต จะมีหินอยู่ ชนิดที่ใครมีไว้ในครอบครอง หมายถึงการเป็นผู้ที่มีสถานภาพทางสังคมที่สูง อย่างน้อยอยู่ในระดับเสนาบดี
หินทั้ง ชนิดนี้ ก็คือ เทอคอยซ์  อำพัน และปะการัง ในวันที่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เสด็จมาเยือนประเทศไทย จะเห็นว่าแม้แต่เจ้าหญิงของภูฏานก็จะสวมหินทั้งสามชนิดนี้
ในประเทศไทยเอง เมื่อก่อนก็นิยมเครื่องประดับอัญมณีที่เรียกว่า "นพเก้า" ประกอบด้วย เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทาย และไพฑูรย์ มาทำเป็นหัวแหวน จี้สร้อยคอ และต่างหู สวมใส่กันเป็นชุดใหญ่
สำหรับ การใช้หินเพื่อการบำบัดเพิ่งจะแพร่หลายกันมาไม่นาน แต่ความเชื่อในด้านโชคลาง สวมใส่เป็นเครื่องประดับแล้วจะส่งเสริมสิริมงคล เสริมอำนาจบารมี หรือปกป้องคุ้มครองนั้นมีมานานแล้ว

การเลือกหินสี ... สำหรับปีเกิด
"ปีขาล"                   ถูกโฉลกกับ            "อะความารีน"
"ปีเถาะ"                  ถูกโฉลกกับ            "มรกต"
"ปี มะโรง"               ถูกโฉลกกับ            "ทับทิม"
"ปีมะเส็ง"               ถูกโฉลกกับ            "ควอทซ์"
"ปี มะเมีย"              ถูกโฉลกกับ            "ซัลไฟร์"
"ปีมะแม"                ถูกโฉลกกับ            "มุกดาหาร"
"ปี วอก"                 ถูกโฉลกกับ            "ทับทิม หรือ ซิทริน"
"ปีระกา"                 ถูกโฉลกกับ            "โกเมน"
"ปีจอ"                    ถูกโฉลกกับ            "มรกต"
"ปีกุน"                   ถูกโฉลกกับ            "ทับทิม"

ในบรรดาหินทั้งหลาย มีหินหลายชนิดที่มีคุณสมบัติที่เป็นกลาง หมายความว่าเหมาะกับชายก็ได้ หญิงก็ดี ตัวอย่างเช่น ไทเกอร์ อายส์อาเกตคาเนเลี่ยนลาพีส ลาซูลี่มาลาไคท์เทอร์คอยซ์อำพัน ฯลฯ ถ้า เป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่ที่นิยมซื้อหาเป็นของขวัญของฝากจะเป็น "ไทเกอร์ อายส์" เป็นหินที่มีคุณสมบัติในการปกป้อง มีความแกร่งของผู้ชาย โดยเฉพาะคนที่เดินทางบ่อยๆ จะนิยมสวมใส่ไทเกอร์ อายส์ ซึ่งช่วยปกป้องสิ่งเลวร้ายทุกชนิดให้พ้นจากตัว

อีกชนิดคือ "อาเกต"  อาเกตเป็นหินที่นิยมนำไปทำเป็นหินธิเบต มีตั้งแต่สีดำเข้ม สีน้ำตาล ไปจนถึงสีใส เสน่ห์ของอาเกตก็คือ ลักษณะลวดลายที่เป็นชั้นๆในเนื้อหิน "อาเกต ป้องกันภยันอันตรายดีมาก ใช้กันผี กันมนต์ดำโดยตรง"

ส่วน "คาร์เนเลี่ยน" มีคุณสมบัติที่ทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตและโรคหัวใจ

หินอีกชนิด ที่มีคุณสมบัติเป็นกลาง เหมาะทั้งหญิงและชาย คือ "ลาพีส ลาซูลี"

"ลา พีส ลาซูลี" เป็นหินเจ้าพลัง สมัยโบราณเป็นหินที่พระนางคลีโอพัตราใช้บดและนำมาทาเปลือกตา นอกจากนี้ ลาพีส ลาซูลี ยังมีคุณสมบัติในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับช่องคอ รักษาเส้นเสียง เจ็บคอ  เจ็บหน้าอก  โดยเฉพาะคนที่เป็นหวัดหรือเป็นโรคประจำตัว ซึ่งเชื่อกันว่า..เมื่อสวมใส่ลาพีส ลาซูลี แล้ว อาการเป็นหวัดจะดีขึ้น

"มาลาไคต์" ก็เป็นหินที่มีความเป็นกลางอีกชนิด มีคุณสมบัติแห่งการปกป้อง อาจกล่าวได้ว่า "มาลาไคต์" เป็นหินต้องห้ามของดินแดนไอยคุปต์ ที่พระนางคลีโอพัตราสามารถใช้ได้เพียงพระองค์เดียว โดยใช้บดเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง สำหรับทาเปลือกตา

สำหรับผู้หญิง หินที่มีความเป็นกลาง ถ้าไม่นับเพชร จะเป็น "โรส ควอทซ์" หินแห่งความรัก ที่แสดงความเป็นอิสตรีอย่างแท้จริง
ในยุคกลางของยุโรป นิยมใช้ "โรส ควอทซ์" เป็นสัญลักษณ์แสดงการเชิดชูเกียรติ โดยนำมาจัดทำเป็นของขวัญ เช่น นาฬิกาแขวน โต๊ะอาหาร และของมีค่าแทนความรัก เนื่องจากมีสีสันเหมือนดอกกุหลาบ เฉดสีชมพูใส หรือสีแดงอมชมพู

"โรโดโค รไซด์" เป็นหินที่แสดงความเป็นครอบครัวที่แข็งแกร่ง หมายถึงความสามัคคี ความมีสัมพันธภาพที่ดี
"อำพัน" เป็นหินอีกชนิดที่เหมาะกับสตรี เชื่อกันว่าเป็นแสงสว่างที่ส่องนำทางชีวิต มีสีตั้งแต่สีเหลืองใส เหลืองทอง ไปจนถึงสีน้ำตาล เป็นหินที่มีคุณสมบัติในการปกป้องคุ้มครองสูงมากอีกชนิดหนึ่ง ใช้เป็นเครื่องรางของขลังได้
คนญี่ปุ่นเชื่อว่าอำพัน สามารถกระตุ้นให้จิตใจเกิดความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
ทั้งนี้ เรื่องชนิดของหินและสีของหินที่ต้องโฉลกกับแต่ละราศีนั้นถ้าจะว่าไปเป็น เรื่องของ "ความเชื่อ" และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ทำให้เกิดความมั่นใจของผู้ที่สวมใส่หินเหล่านั้น เพราะการที่ได้สวมใส่หินที่ตนเองรักและชื่นชอบ ก็จะทำให้รู้สึกดี มีความสุข และมีความมั่นใจมากขึ้นนั่นเองครับ



หิน จักรราศี มงคลแห่งชีวิต
"หิน" นอกจากจะนิยมใส่ตามปีเกิดแล้ว ยังนิยมสวมใส่ตามจักรราศีด้วย ดังนี้

ราศีกุมภ์ (21 มกราคม-18 กุมภาพันธ์) ว่ากันว่าคนราศีนี้รักอิสระ รักพวกพ้อง ชอบคิดและทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน แต่มีเพื่อนเยอะ ฉะนั้น จึงเหมาะกับ อาเมทีสต์(Amethyst) หรือ พลอยสีม่วง เพราะบ่งบอกถึงหัวใจที่เป็นอิสระ ความจริงใจและความซื่อสัตย์ หรือหากจะใช้ไพลิน หรือ โกเมน ก็สามารถใช้แทนกันได้

ราศีมีน(19 กุมภาพันธ์-20 มีนาคม) อัญมณีที่เหมาะกับราศีนี้ คือ อความารีน (Aquamarine) พลอยที่มีตั้งแต่สีเขียวน้ำทะลจนถึงสีฟ้าเข้ม เป็นอัญมณีที่นำความสมบูรณ์และยิ่งใหญ่  ช่วยให้จิตใจสงบ อ่อนโยน ถือเป็นอัญมณีนำโชคของชาวเรือและชาวทะเล ช่วยบรรเทาอาการเมาคลื่นและอุบัติภัยได้ นอกจากนี้ยังมี อาซูไรต์(Azurite) หินสีน้ำเงินเข้ม เป็นแร่โคบอลต์ ที่มักใช้ในการนั่งสมาธิ ช่วยปลุกพลังแห่งจิตวิญญาณ การรับรู้และการสัมผัสพิเศษ รวมทั้ง..บลัด สโตน(Bloodstone) และอาเมทิสต์ (Amethyst) ที่มีสีม่วงด้วย

ราศีเมษ (21 มีนาคม-20 เมษายน) อัญมณีสำหรับชาวราศีเมษ คือ เพชร สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ , ความสำเร็จ ,ความแข็งแกร่ง และยังช่วยกระตุ้นให้เกิดความกล้าหาญ ซึ่งดูแล้วเหมาะกับนักริเริ่ม นักบุกเบิกที่แข็งแกร่งอย่างชาวเมษ นอกจากนี้อาจใช้ไทเกอร์ อายส์เพทาย พลอยสีใส และพวกควอทซ์ใสทุกชนิด หรือจะเป็น อาเกตขาวก็ใช้ได้

ราศีพฤษก(21 เมษายน-20 พฤษภาคม) คนราศีพฤษภ เหมาะกับพลอยสีเขียว เช่น มรกต สัญลักษณ์ของความมั่นคง ความยั่งยืนเป็นอมตะ หยก ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน ค้าขายรุ่งเรือง และ โมราสีเขียว สัญลักษณ์ของทรัพย์สิน ความมั่งคั่งร่ำรวย
ราศีเมถุน(21 พฤษภาคม-20 มิถุนายน) ชาวราศีเมถุนเป็นผู้แคล่วคล่องว่องไว ชอบเจรจา จึงเหมาะกับไข่มุกและมุกดาหาร ซึ่งเชื่อกันว่า..จะสามารถกระตุ้นพลังงานและเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับผู้สวมใส่ นอกจากนี้อัญมณีสีขาวซีดหรือขาวขุ่น ก็ยังเป็นอัญมณีประจำราศีเมถุนเช่นกัน อาทิ  มูนสโตน  เป็นต้น
ราศีกรกฎ(21 มิถุนายน-20 กรกฎาคม) อัญมณีของ ชาวกรกฎ เป็นอัญมณีสีขาวและสีเงิน เพราะฉะนั้น..ไข่มุก จึงเหมาะกับชาวราศีกรกฏ ที่จะช่วยเสริมสง่าราศี และเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนโยน  การปกป้อง , มุกดาหาร หินสีขาวใสถึงขุ่น ผิวเรียบเนียน มันวาว แสงสะท้อนจะดูนวลตา เชื่อกันว่า..เป็นหินที่ช่วยให้รับความรู้สึกต่างๆได้ดีขึ้นโดยเฉพาะความรัก ความอ่อนโยน ความสงบหรือ เทอร์คอยซ์ และ พลอยสีเขียวขุ่น ก็ใช้ได้เช่นกัน

ราศีสิงห์(21 กรกฎาคม-20 สิงหาคม) อัญมณี สีเขียวใส หรือ เพอริโดต์(Peridot) คืออัญมณีประจำราศีสิงห์ เป็นอัญมณีที่มีพลังแห่งดวงอาทิตย์แฝงอยู่ จึงสามารถขับไล่วิญญาณของภูตผีปีศาจได้ ทำให้ผู้สวมใส่มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ จึงเหมาะกับชาวราศีสิงห์ แต่เพราะเพอริโดต์ เป็นพลอยที่มีความแข็งไม่มาก จึงเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย แต่ถ้าหากต้องการอัญมณีที่มีความแข็งมากกว่านี้ ก็ใช้ ไพฑูรย์ตาแมว ทับทิม ก็ถือเป็นอัญมณีของราศีนี้ได้เช่นกัน ถือเป็นเครื่องรางเพิ่มความกล้าหาญและความสง่างาม

ราศีกันย์(21 สิงหาคม-22 กันยายน) แจสเปอร์ ถือว่าเป็นอัญมณีที่สื่อถึงลักษณะของชาวราศีกันย์ได้ชัดเจนมาก เพราะใช้ในการรักษาความปลอดภัย และการดิ้นรนอยู่รอด ทำให้ผู้สวมใส่มีหลักการในการดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย หรือใช้เป็นโรส ควอทซ์ และ คาเนเลี่ยน ก็ได้เช่นกัน

ราศีตุลย์ (23 กันยายน-20 ตุลาคม) คนรักสงบ ประนีประนอมของชาวราศีตุลย์ เหมาะกับ โอปอล ซึ่งหมายถึง ความสุขและความสมหวัง สามารถนำความรักและความสุขมาให้กับผู้สวมใส่ โดยเฉพาะโอปอลสีเข้ม หรือ แบล็กโอปอล นอกจากนี้ เลพิโดไลท์ หินสีชมพูออกม่วง สำหรับผู้ที่ปัญหาด้านความรัก อกหักรักคุด ช่วยให้เปิดกว้างรับสิ่งดีๆเข้าสู่จิตใจได้

ราศีพิจิก(21 ตุลาคม-20 พฤศจิกายน) เพราะชาวพิจิก เป็นผู้มีความห้าวหาญ เด็ดเดี่ยว มุทะลุดุดัน จึงสมควรคู่กับอัญมณีประเภท บุษราคัม ทับทิม รวมทั้ง ซิทริน หรือ คริสตัลเหลือง เพื่อช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ให้กำลังใจและสร้างความเชื่อมั่น อีกทั้งยังช่วยในการตัดสินใจเมื่อต้องเสี่ยงหรือต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ราศีธนู (21 พฤศจิกายน-20 ธันวาคม) เทอร์คอยซ์ หินสีเขียวน้ำทะเล และเพทายสีฟ้า คือ อัญมณีของราศีนี้ หมายถึงความร่ำรวยและความมั่งคั่ง เทอร์คอยส์ยังมีคุณสมบัติด้านความรักความเมตตา และช่วยเสริมสร้างสติปัญญาอีกด้วย

ราศีมังกร (21 ธันวาคม-20 มกราคม) คนราศีมังกร จะเป็นคนจริงจัง เป็นคนมีระเบียบแบบแผน แต่ก็มักจะวิตกกังวลอะไรต่อมิอะไรอยู่บ่อยๆ จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพ และมักจะเจ็บป่วยเล็กๆน้อยอยู่เสมอ  เช่น ปวดข้อ ปวดเข่า ปวดหลัง อัญมณีที่เหมาะก็คือ โกเมน เพราะจะช่วยให้ผู้สวมใส่มีสุขภาพที่ดี หรือถ้าจะเป็นเพชร ก็ใช้ได้เช่นกัน




วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตลาดจั๊กจั่น cicada market



              Cicada Market  ชิเคด้า มาร์เก็ต ตั้งอยู่ในบริเวณ "สวนศรี" (หน้าทางเข้าโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ หัวหิน) ตลาดนัดยามเย็นที่รวมเอาชิ้นงานศิลปะร่วมสมัยแขนงต่างๆ   รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ งานแฮนด์เมด ของตกแต่งบ้าน เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้มือสอง สินค้าเอสเอ็มอีที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ เพื่อนำมาแสดงและจำหน่ายในสไตล์เปิด เสื่อ อีกทั้งเปิดตาและเปิดใจร่วมทำกิจกรรม workshops จากชมรมต่างๆ เช่น กลุ่มเล่านิทาน กลุ่มละคร กลุ่มเต้นรำ กลุ่มถ่ายภาพ กลุ่มนักแสดงเปิดหมวก ฯลฯ ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสร้างสีสันและเสริมสร้าง สุนทรียภาพ ท่ามกลางบรรยากาศ Tropical Garden อันร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้งามอายุร่วมร้อยปีภายใต้แนวความคิด ตลาดนัด “เปิดสื่อ-เปิดใจ-เปิดไอเดีย หรือ Open Mind & Open Mat” บนพื้นที่สีเขียวอันร่มรื่นด้วย แมกไม้ มากมายกว่า 10 ไร่
             Cicada Market  ชิเคด้า มาร์เก็ต  แบ่งเป็น 4 ส่วนหลักๆ คือ ส่วนของสินค้าทางศิลปะ( Art A La Mode)  ส่วนของการจัดแสดงศิลปะ Art Indoor   ส่วนของศิลปะการแสดง Art of Act และสุดท้ายคือศิลปะในการกิน Art of Eating  หรือก็คืออาหารนั่นเอง เมื่อมาด้านหน้าโครงการ ก็จะเห็นป้ายชื่อ  Cicada  ตลาดจั๊กจั่น อันใหญ่ตั้งอยู่ บริเวณลานน้ำพุด้านหน้า จุดนี้เป็นอีกจุดสำคัญที่มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปมากมาย กิจกรรมในโซน Art of Act ศิลปะการแสดง น่าจะถูกใจคนรักดนตรี เพราะเป็นเวทีการแสดงต่างๆ ทั้งดนตรี สด โขน  ละคร  และการแสดงรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เปิดให้ชมฟรีตลอดรายการเดินตรงเข้ามาภายในสวนก็จะเป็น Art A La Mode ส่วนของสินค้าทางศิลปะ  มีสินค้าจำหน่ายปูเสื้อวางขายกัน ยาวตามริมทางเดิน   ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าแฮนด์แมค ทั้ง เครื่องประดับ เสื้อผ้า หมวก  ถูกใจช๊อป ที่ชอบของ แปลกใหม่ ะเก๋ไม่ซ้ำใคร มีมุมถ่ายภาพแนวๆหลายมุม ถูกใจคนชอบถ่ายภาพโดยแท้
                                                                 Art A La Mode ส่วนของสินค้าทางศิลปะ



 บริเวณโซนกลางตรงสนามหญ้าจะเป็นบ้านไม้สีขาว 2 ชั้น เป็น Art Indoor   ส่วนของการจัดแสดงศิลปะ  ซึ่ง จัดแสดงนิทรรศการภาพวาด ซึ่งมีไว้จำหน่าย ด้านหน้าก็จะเป็นมุมวาดรูปของนักวาด มีบริการวาดรูปเหมือน  บริเวณโดยรอบก็จะมีห้องเล็กๆ  สำหรับขายสินค้าด้วย  

Art Indoor 



นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ  Art of Eating  ก็จะเป็นโซนขายอาหาร นานาชนิด มีที่นั่งให้รับประทานเป็นสัดส่วน กว้างขวาง เป็นพื้นที่รวมความอร่อย  ด้วยเมนูเด็ดๆ จากโรงแรมชั้นนำของหัวหิน และอาหารพื้นถิ่นที่หากินกัน ได้ไม่ง่ายนักในปัจจุบัน นอกจากที่นี่เท่านั้น อาทิ เย็นตาโฟซี๊ดซ๊าด หอยเสียบ อาหารพื้นบ้านอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงของหวาน ไอศครีม เบเกอรี่ และเครื่องดื่ม จากร้านอร่อยที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี


Art of Eating



     จากหัวหินมาทางถนนเพชรเกษม ถึงแยกหัวหิน หนองแก - เขาตะเกียบ ตรงมาทางเขาตะเกียบประมาณ 700 ม. โครงการซิเคด้ามาร์เก็ต Cicada Market (ตลาดนัดจั๊กจั่น) ตั้งอยู่ที่ เดอะ เวนิว แอทสวนศรี เขาตะเกียบ หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ฝั่งตรงข้ามเป็นที่จอดรถฟรี ถ้าเต็มจอดได้ที่ซอยข้างๆทั้งซ้ายและขวาของสวนศรี หรือริมถนน
หรือหากไม่มีรถส่วนตัวจากตัวเมืองหัวหินสามารถเช่ามอเตอร์ไซค์ เหมารถสองแถว หรือรถตุ๊กๆ จากหัวหินมาได้


ซิเคด้า มาร์เก็ต  ตั้งอยู่ ณ สวนศรี เขาตะเกียบ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  เปิดทุกวัน ศุกร์ เสาร์ ตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถึง ห้าทุ่ม และ วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็น ถึง สี่ทุ่ม ณ สวนศรี หัวหิน
เว็บไซต์ : http://www.cicadamarket.net