วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประวัติความเป็นมาไอติมโบราณ




               จุดเริ่มต้นของไอศครีมในระดับสากล นายโทมัส อาร์ควินนี่ เล่าว่า การรับประทานไอศครีมน่าจะเริ่มต้นกันมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรห์ แห่งอนาจักรโรมัน ที่ได้พระราชทานเลี้ยงไอศครีมแก่เหล่าทหารหาญที่อยู่ในกองทัพของพระองค์ แต่ในขณะนั้น ไอศครีมเกิดจากการนำหิมะมาผสมเข้ากับน้ำผึ้งและผลไม้ ต่อมาเรียกไอศครีมประเภทนี้ว่า เชอร์เบ็ท (Sherbet) นั่นเอง แต่ตำนานนี้ ก็หาได้เป็นแค่ตำนานเดียวที่เล่าสืบต่อกันมาถึงต้นกำเนิดของไอศครีมไม่หากแต่บางกระแส ก็ระบุว่า บรรพชนของคนจีน ค้นพบไอศครีมเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 4,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งลักษณะของไอศครีมในประเทศจีนทำมาจากข้าวบดผสมกับนมสดที่เย็นจนเป็นนำแข็ง และได้มีการสอนให้ทำไอศครีมให้กับคนอินเดีย และชาวเปอร์เชียอีกด้วย การก่อกำเนิดไอศครีมตามตำนานประเทศจีนระบุว่า เป็นเรื่องของความบังเอิญแท้ๆ

            ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนในสมัยนั้น เพิ่งจะมีการรู้จักรีดนมจากสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในฟาร์ม เมื่อรีดออกมาจำนวนมากก็บริโภคไม่หมด ประกอบกับน้ำนมเป็นสินค้าที่มีราคาแพงมากๆ คนชั้นสูงเห็นท่าไม่ดีจึงเกิดแนวคิดนำน้ำนมไปหมกซ่อนไว้ในหิมะ นัยว่าเพื่อต้องการที่จะถนอมน้ำนมเอาไว้รับประทานได้นานๆ จนกระทั่งน้ำนมที่นำไปหมกไว้ในหิมะกลายเป็นนมแช่แข็งขึ้นมาในบัดดล จากนั้น ก็มีการพัฒนารูปแบบจากนมแช่แข็งที่แสนจะสุดธรรมดาให้กลายเป็นน้ำผลไม้แช่แข็ง ในส่วนของราชวงศ์โมกุล ได้นำเอานมต้มมาผสมกับถั่วพิสตาซิโอ จนเกิดเป็นของหวานแช่แข็งเรียกกันว่า Kulfi ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นแบบแผนของไอศครีมในยุคโบราณจนปลายศตวรรษที่ 13 มาร์โคโปโล (Marco Polo) เดินทางไปจีน และชื่นชอบจึงนำสูตรกลับไปอิตาลี ขณะเดินทางมีการเติมนมลงไป กลายเป็นสูตรของเขาโดยเฉพาะ และแพร่หลายไปในอิตาลี ฝรั่งเศสและข้ามไปอังกฤษ คนอิตาลีถือว่าตนเองเป็นต้นตำรับ ไอศครีมแบบที่นำมาปั่นให้เย็นจนแข็ง เรียกว่า เจลาติ (Gelati) และมีการพัฒนาไปมากจนทำให้อิตาลีได้ชื่อว่าเป็นแหล่งไอศครีมเลิศรสเลยทีเดียว ขณะเดียวกัน คนอิตาลีมักจะทึกทักเอาว่าบรรพชนของตนเป็นคนค้นพบไอศครีมเป็นครั้งแรกเสมอมาแถบยุโรปประมาณ ค.ศ.1670 ฟรานเอสโก ได้นำไอศครีมไปจำหน่ายภายในร้านกาแฟของเขา เพื่อให้บริการลูกค้าของเขา ปรากฏว่า ได้รับความสนใจกันอย่างกว้างขวางมากทีเดียวไอศครีมได้รับการพัฒนากระบวนการผลิตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ค.ศ.1846 นางแนนซี่ จอห์นสัน (Nancy Johnson) ก็สามารถสร้างเครื่องผลิตไอศครีมขึ้นมาได้เป็นครั้งแรก และนับเป็นจุดที่ทำให้ไอศครีม เผยแพร่เข้าไปทั่วโลกก็ว่าได้

             เส้นทางการแพร่หลายของเจ้าไอติมที่น่าสนใจก็คือ เมื่อประมาณศตวรรษที่ 14 ไอศครีมได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศเทศอิตาลีและฝรั่งเศส ซึ่งในประวัติศาสตร์ของไอศครีมช่วงนี้ระบุว่า ในงานฉลองอภิเษกสมรสระหว่าง แคเธอรีน เดอ เมดิซี (Catherine de Medici) แห่งเวนิชกับกษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 ของฝรั่งเศส ได้มีการนำของหวานกึ่งแช่แข็งมาเสริฟแขกที่มาร่วมงาน สำหรับรูปร่างหน้าตาเหมือนกับไอศครีมไม่มีผิดเพี้ยน และนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งทำให้ไอศครีมกลายเป็นของหวานของคนค่อนโลกไปโดยปริยาย เล่ากันว่าในช่วงแรกๆ ที่มีไอศครีมต้องผ่านการผลิตที่ค่อนข้างจะยุ่งยากเนื่องจากต้องใช้เวลาและต้องลงแรงตามสมควร เมื่อได้ผลิตผลจากการลงแรงที่เป็นไอศครีมเย็นเฉียบแล้ว ก็ต้องเกณฑ์คนมาช่วยกันรับประทานให้หมด มิเช่นนั้นแล้ว ไอศครีมก็จะละลายกลายเป็นน้ำไปในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าในที่สุด




วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กรดไหลย้อน ภัยร้าย!! สุดน่ากลัว

                   
                     เคยมีอาการจุกแน่นที่หน้าอกคล้ายเหมือนอาหารไม่ย่อย หรือปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกไหมจ๊ะ อาการเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของ “โรคกรดไหลย้อน” เท่านั้น ซึ่งในวันนี้พี่ปัดจะพาทุกคนไปทำความรู้จักโรคที่ถือว่าเป็นภัยร้ายสุดน่ากลัวกัน


              “โรคกรดไหลย้อน” หรือ Gastro Esophageal Reflux Disease (GERD) มีสาเหตุเกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่บริเวณหลอดอาหาร ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรดทำให้เกิดการอักแสบ โดยตามปกติแล้วหลอดอาหารจะมีการบีบตัวส่งอาหารไปยังกระเพาะอาหาร ซึ่งในช่วงรอยต่อของกระเพาะอาหารและหลอดอาหารจะมีหูรูด ที่ช่วยป้องกันการไหลย้อนของกรด น้ำย่อย หรืออาหาร ไม่ให้ย้อนกลับขึ้นมาได้
           อาการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ...
           โรคกรดไหลย้อนบริเวณหลอดอาหาร :: ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงแหบกว่าปกติ มีอาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ จุกแน่นบริเวณหน้าอกเหมือนมีอะไรมาติดอยู่ในลำคอ ทำให้หายใจไม่สะดวกในเวลานอน กลืนอาหารลำบาก คลื่นไส้ เรอเปรี้ยว
           โรคกรดไหลย้อนบริเวณกล่องเสียง และหลอดลม :: ผู้ป่วยจะมีอาการไอ และเจ็บคอเรื้อรัง เสียงแหบโดยเฉพาะในช่วงเช้า เจ็บหน้าอก
           การรักษา : สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงคุณหมอจะให้ยาลดกรดมาให้ผู้ป่วยกิน นอกจากนี้ยังวิธีการรักษาแบบอื่นทั้งการกลืนแป้งตรวจกระเพาะ, การส่องกล้องตรวจกระเพาะ สำหรับกรณีผู้ป่วยมีอาการรุนแรง คุณหมอจะรักษาด้วยการผ่าตัดผูกหูรูดกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นมาอีก

 6 สิ่งที่ควรรู้
    • กินอาหารที่ย่อยง่าย :: เชื่อว่า คงจะให้มื้อเย็นเป็นอาหารมือที่ใหญ่ที่สุดของวันใช่ไหมจ๊ะ ถ้าใช่ล่ะก็พี่ปัดขอร้องว่าให้หยุดทำเดี็ยวนี้!! เพราะมื้อเย็นควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย และควรที่จะกินก่อนข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เพื่อให้อาหารที่กินเข้าไปนั้นได้ย่อยก่อนที่เราทุกคนจะนอนหลับพักผ่อน
    • กินอาหาร 5 มื้อ :: โดยแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ 5 มื้อ ได้แก่ อาหารเช้า อาหารว่างตอนสาย อาหารกลางวัน อาหารว่างตอนบ่าย และอาหารเย็น ที่ต้องแบ่งมื้ออาหารออกเป็นแบบนี้นั้น เพื่อไม่ให้ร่างกายทำงานหนักจนเกินไป ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งที่อย่าลืม คือ อาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวันนั้นต้องให้ครบ 5 หมู่ นะจ๊ะ
    • รู้จักลด ละ เลิก :: อาหารที่รสชาติเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด ของมัน ของทอด กาแฟ ช็อกโกแลต ผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยว กระเทียม เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ซอสมะเขือเทศ ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ดังนั้นถ้าไม่อยากเป็นโรคนี้ จึงควรรู้จักลด ละ เลิก อาหารเหล่านั้น แต่ถ้าอยากกินจริงๆ ก็ให้กินในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
    • นอนตะแคงซ้าย :: สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกรดไหลย้อนแล้วควรที่จะนอนท่าตะแคงซ้ายนะจ๊ะ เพราะมีการศึกษาพบว่าท่านี้จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย แต่ถ้านอนท่าตะแคงขวาแล้วล่ะก็ จะยิ่งทำให้อาการของโรคหนักยิ่งขึ้น
    • หนุนหัวเตียง :: ผู้ป่วยที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6 – 10 นิ้วจากพื้นราบ โดยให้วัสดุรองขาเตียง เช่น ไม้ อิฐ ห้าม!! ใช้หมอนรองศีรษะเพื่อเป็นการยกศีรษะให้สูงขึ้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้ความดันในช่องท้องยิ่งเพิ่มมากขึ้น
    • ใส่ชุดสบายๆ :: ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย ไม่รัดเอว หรือหน้าท้องให้รู้อึดอัดจนเกินไป





วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลูกหม่อน



 นักวิจัยพบผลหม่อนแห้ง มีสารออกฤทธิ์ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ เตรียมทดลองใช้กับผู้ป่วยสมองเสื่อม คาดปีหน้าผลิตขายได้สำเร็จ ต้นทุนเพียงเม็ดละ 2 บาท ถูกกว่ายาต่างประเทศหลายเท่า เล็งจดสิทธิบัตรเร็วๆ นี้

     นายประทีป มีศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาผลหม่อนได้รับการวิจัยและพัฒนาการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ อาทิ น้ำผลไม้ ไวน์ แยม เยลลี่ และลูกอม เนื่องจากเป็นพืชผลที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคต่างๆ เช่น โรคไขข้ออักเสบ โรคโลหิตจาง โรคเบาหวาน หลายประเทศทั่วโลกได้นำมาใช้ประโยชน์ในเชิงสุขภาพเป็นเวลานาน ทั้งนี้ จากผลงานวิจัยล่าสุดพบว่า ผลหม่อนอบแห้งมีสารออกฤทธิ์ป้องกันการตายของเซลล์ประสาทในภาวะต่างๆ เช่น โรคความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ยังไม่มีหน่วยงานใดๆ ทำได้มาก่อน
     ผอ.สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ระบุว่า การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพด้านความจำจากผลหม่อน ได้ลงนามความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยเริ่มต้นศึกษาเมื่อปีที่แล้ว จนกระทั่งค้นพบว่าหากนำผลหม่อนสุกไปอบแห้งแล้วบดเป็นผงใส่แคปซูลมารับประทาน จะช่วยป้องกันรักษาโรคที่ผู้สูงอายุเป็นกันมากคือ สมองเสื่อม ความจำบกพร่อง และอาการหลงลืมได้ อีกทั้งผลหม่อนในแต่ละช่วงระยะเวลา ก็มีคุณค่าทางสารอาหารแตกต่างกัน จึงต้องรู้วิธีเก็บเกี่ยวและกระบวนการแปรรูปให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

  เขาบอกว่า ขณะนี้ได้ทดสอบในห้องปฏิบัติการกับสัตว์ทดลอง และทราบขนาดยาที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วย ซึ่งต้องทดสอบด้วยการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และจดจำ โดยคาดว่าขั้นตอนทางคลินิกจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ ก่อนถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนสามารถผลิตจำหน่ายได้ปีหน้า นอกจากนี้ ตนได้หารือกับนักวิจัยแล้ว คิดว่าจะต้องนำเทคนิคหรือกระบวนการวิจัยผลหม่อนมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและป้องกันโรคความจำเสื่อม ไปจดสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาในเร็วๆ นี้

     "จากตัวเลขของสาธารณสุข ปัจจุบันมีคนไทยป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ที่เข้ารับการรักษาประมาณ 720,000 คน จะต้องรับประทานยาที่นำเข้าจากต่างประเทศวันละ 1 เม็ด ราคา 250 บาท แต่ผลิตภัณฑ์จากผลหม่อนมีต้นทุนอยู่ที่เม็ดละ 2 บาทเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าจะช่วยลดงบประมาณที่ต้องซื้อยาต่างประเทศได้มหาศาล"

     นายประทีปกล่าวอีกว่า ปริมาณผลหม่อนที่มีอยู่ในทุกวันนี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ที่ต้องการนำไปบริโภคและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ พื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนมีประมาณ 500 ไร่ เราจึงต้องเร่งขยายพื้นที่ปลูกหม่อนเพิ่มมากขึ้นอีก 500 ไร่ รวมทั้งพยายามศึกษาวิจัยให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการหาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตหม่อนให้ติดดอกออกผลได้ตลอดปี การหาวิธีป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูหม่อน การเก็บรักษาผลหม่อนให้ได้เป็นระยะเวลานาน ราคาถูก สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด และประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคยอมรับผลิตภัณฑ์จากผลหม่อนให้เป็นที่แพร่หลายอีกด้วย.




ประโยชน์ที่ได้จากสรรพคุณของลูกหม่อน
 - มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก(Anti oxidant)เป็นสารสีม่วง เช่นเดียวกับ ไวน์แดง
 - ช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด
 - ควบคุมความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
 - ควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือด โรคเบาหวาน
 - วิตามิน A ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันต้อกระจก
 - วิตามิน B6 ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง
 - วิตามิน C ช่วยป้องกันภูมิแพ้ โรคปอด
 - บำรุงตับ(ป้องกันตับแข็ง) , บำรุงไต
 - ป้องกันและยับยั้งการเกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือด
 - ป้องกันเส้นโลหิตในสมองแตก(สาเหตุของโรคอัมพฤก,อัมพาต)
 - ช่วยขับสารพิษในร่างกาย ช่วยระบบขับถ่าย
 - แก้อาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย หูอื้อ คอแห้ง กระหายน้ำ ช่วยให้นอนหลับ
 - ช่วยขับเสมหะ เป็นยาระบายและใช้กลั้วคอ ลดการอักเสบลำคอ เจ็บคอ
 - เหมาะสำหรับผู้ป่วยในระยะพักฟื้นและผู้มีปัญหาสุขภาพ มีโรคประจำตัว อ่อนแอขี้โรค
 - แก้อาการเมาค้างได้เป็นอย่างดี