วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เห็ดหลินจือ




                เห็ดหลินจือ (อังกฤษLingzhi) เป็นยาจีน (Chinese traditional medicine) ที่ใช้กันมานานกว่า 2,000 ปี นับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้เป็นต้นมา เห็ดหลินจือเป็นของหายากมีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน และได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ “เสินหนงเปินเฉ่า” ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่สุดของจีนมีคนนับถือมากที่สุด ได้กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือเป็น “เทพเจ้าแห่งชีวิต” (Spiritual essence) มีพลังมหัศจรรย์ บำรุงร่างกายใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุออกไปให้ยืนยาว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ชาวจีนโบราณต่างยกย่องเห็ดหลินจืออย่างเหนือชั้น ว่าดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน นอกจากจะมีสรรพคุณเหนือชั้นกว่าแล้วยังปลอดภัยไม่มีพิษใด ๆ ต่อร่างกาย

        ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่า เห็ดหลินจือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น ใช้บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีกำลัง ทำให้ความจำดีขึ้น ทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ชัดเจนดีขึ้น ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสีหน้าแจ่มใส ชะลอความแก่ ส่วนสรรพคุณอื่นๆที่ได้รวบรวมไว้ได้แก่ รักษาและต้านมะเร็ง รักษาโรคตับ ความดันโลหิตสูง ขับปัสสาวะ ปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ ภาวะมีบุตรยาก การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคภูมิแพ้ โรคประสาท ลมบ้าหมู เส้นเลือดอุดตันในสมอง อัมพาต อัมพฤกษ์ ปวดเมื่อย ปวดข้อ โรคเกาต์ โรคเอสแอลอี เส้นเลือดหัวใจตีบ ตับแข็ง ตับอักเสบ ปวดประจำเดือน ริดสีดวงทวาร อาหารเป็นพิษ แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงสายตา และความเชื่อดังกล่าว ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

        เห็ดหลินจือได้ถูกบันทึกไว้ว่า มีขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมาก กว่า 100 สายพันธุ์ และสำหรับสายพันธุ์ที่นิยมมีสรรพคุณทางยาดีที่สุดคือ กาโนเดอร์ม่า ลูซิดั่ม (Ganoderma lucidum) หรือสายพันธุ์สีแดงเห็ดหลินจือมีสารโพลีแซคคาไรด์ ซึ่งเป็นสารยับยั้งอาการต่างๆ ข้างต้น เห็ดหลินจือในแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารโพลีแซคคาไรด์ในปริมาณที่แตกต่างกัน แต่สายพันธุ์ที่มีสารโพลีแซคคาไรด์มากที่สุด คือ เห็ดหลินจือสีแดง ซึ่งมีงานวิจัยต่างๆ พบว่ามีสารโพลีแซคคาไรด์มากที่สุดในบรรดาเห็ดหลินจือทั้งหมด ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ เห็ดหลินจือออกมาจำหน่ายกันเป็นจำนวนมาก การเลือกผลิตภัณฑ์ เห็ดหลินจือแดงควรศึกษาตั้งแต่วิธีการเพาะปลูก ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญ เพราะการจะได้เห็ดหลินจือที่มีคุณภาพที่ดีนั้น ตัวเห็ดหลินจือเอง จะต้องได้รับการเพาะเลี้ยงในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งในเรื่องความชื้น แสงสว่าง และสารอาหารที่ได้รับ ส่วนขั้นตอนการแปรรูป ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะถือเป็นกระบวนการที่จะสกัดสารโพลีแซคคาไรด์จากตัวเห็ดเองออกมาให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้การบรรจุภัณฑ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องให้ความสนใจไม่แพ้กัน ควรเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้ดี เพราะว่าความชื้นจะทำให้เห็ดหลินจือขึ้นราได้ เนื่องจากเห็ดหลินจือค่อนข้างไวต่อความชื้น



การรับประทานเห็ดหลินจือ
สำหรับผู้ที่รับประทานเห็ดหลินจือใหม่ๆ นั้นอาจจะรู้สึกมึนศรีษะ ปวดเมื่อย ปวดตามข้อ ง่วงนอน ผัวหนังเกิดอาการคัน อาเจียน อาการคล้ายคนท้องเสีย หรือจะมีลักษณะตามโรคนั้นๆ ถือเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ อันเป็นเรื่อง ปกติของการบำบัด ด้วยยาสมุนไพรแผนโบราณ เนื่องจากเมื่อตัวยาได้เริ่มเข้าไปบำบัดนั้น จะเข้าไปชะล้างสิ่งที่เป็นพิษ ในร่างกายให้สลายหรือเคลื่อนย้ายขับสารพิษ ออกจากร่างกาย
จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณ ว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว ไม่ใช่ผลข้างเคียง ดังเช่น สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เมื่อรับประทานหลินจือแล้วอาจจะมีการ ขับถ่ายน้ำตาล ออกมามากผิดปกติ ส่วนผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์อาจเกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น โรคไต หรือผู้ป่วยที่ต้อง ล้างไต จะปวดเมื่อยตามข้อ เท้าจะบวม ร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 2-3 วัน หรือประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะกลับสู่สภาพปกติ แล้วแต่สภาพร่างกาย อันแตกต่างกัน ของแต่ละคน ไม่ต้องตกใจ ให้รับประทานหลินจือต่อไป อย่าหยุด หากมีผลทางอาการมาก ให้ลด จำนวนแคปซูลลง เมื่อมีอาการปกติ ให้รับประทานตามคำแนะนำต่อไป สำหรับผู้ป่วยที่กำลัง รับประทานยารักษาที่แพทย์สั่ง ก็สามารถรับประทานหลินจือควบคู่ไปได้


วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พะโล้ป้องกันหวัด






พะโล้ป้องกันหวัด

                         สภาพอากาศตอนนี้อาจทำห้หลายๆคนต้องป่วยหรือไม่ก็กำลังหาวิธีการดูแลตัวเองให้รอกพ้นจากอาการป่วยกันอยุ๋ใช่ไหม  เพียงรับประทานพะโล้ หรือที่เรามักเรียนติดปากว่าไข่พะโล้นั้นเอง ไข่พะโล้ดียังไงและช่วยป้องกันไข้หวัดได้อย่างไร คือในไข่พะโล้จะมีเครื่องเทศอยุ๋ชนิดหนึ่งเรียกว่า โป๊ยกั๊ก หรือจันทร์แปดหลีบ ซึ่งนอกจากในพะโล้แล้ว ในน้ำซุปชนิดอื่นๆก็มันจะใส่เครื่องเทศชนิดนี้ด้วย เช่น น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวแบบต๋น น้ำซุปก๋วยจ็บ โดยทีโป๊ปกั๊กจะมีกรดที่เรียกว่า ซิคิมิก อยุ่มากและกรดนี้ก็คือสารคำคัญที่ใช้ในการผลิตยาด้านไวรัสหวัด

การรับปรัทานซุปที่มีส่วนผสมของโป๊ปกั๊กจึงมีส่วนช่วยให้ร่างกายอบอุ่น มีการหมุนเวียนของเลือกลมดี ช่วนบรรเทาอาการปวดและอาการชาได้ด้วย ดังนั้นสาวคนไหนที่กำลังเป็นหวัดหรือรู้สึกว่าอยุ๋ในกลุ่มเสี่ยง ก็ครวหาพะโล้มารับประทานกันบ่อยๆ หรือใครยังไม่เป็นจะหามารับประทานกันไว้ก่อนก็ได้

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรื่องของเกลือ Salt



                เกลือ คือผลึกสีขาวมีรสเค็ม เปงสิ่งจำเป็นต่อชีวิตเรามาก ร่างกายคนเราจะขาดเหลือไม่ได้นอกจากจะเกลือมาใช้ในการปรุงรสหรือหมักอาหาร แล้วยังนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆอบ่างแพร่หลาย บนพื้นโลกมีพื้นที่ 70% เป็นทะเลเหลือ 3 % ของน้ำทะเลนั้นจะระเหยหลายเป็นเกลือมี 2 ชนิด คือเหลือสมุทรและเกลือสินเธาว์ สามารถพบได้ทั่วไปในน้ำทะเลและพื้นดิน แล้วนำมาเป็นเกลือบริสุทธิ์ปราศกจากสิ่งปนเปื้อนที่โรงงาน




เกลือสมุทรอุเอนี (โบลิเวีย)

                     เป็นผลึกเกลือที่ได้จากทะเลสาบขนาดเล็ก บนที่ราบสูง 4000 เมคร บนเทือกเนาแอนดีส ถ้าฝนไม่ตกน้ำในทะเลสาบจะรเหยกลายเป็นผลึกเกลือที่มีความเข้มข้นมากกว่าผลึกเกลือที่ได้จากน้ำทะเลถึง 8 เท่า ในประเทศไทยอตสาหกรรมการผลิตเกลือสมุทรจากน้ำทะเล ทำกันในหลายจังหวัดแถบชายทะเลของอ่าวไทย ใช้วิธีระบายน้ำทะเลโดยใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเมื่อน้ำทะเลแห้งจะได้ผลึกของโซเดียมคลอไรด์ สำหรับทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือการผลิตเกลือสินเธาว์ ใช้วิธีฉีดน้ำในบ่อลึก หรือในเหมืองขุดเพื่อละลายเกลือที่อยู่ใต้พื้นดิน แล้วนำมาระเหยซึ้งส่วนใหญ่จะใช้วิธีเคี่ยวให้แห้ง



ประสาทเกลือ

                    อยุ่ที่เมืองบิเอลิจิกา ประทศโปรแลนด์ สร้างในศตวรรษที่ 17 ถ้าอยุ่ในเมืองเกลือสินเธอาว์ที่อยุ่ใต้ดินลึกลงไปร้อยกว่าเมตร ทุกห้องจพทำด้วยเกลือ แกะสลักประดับตกแต่งด้วยโคมไฟ
น้ำเกลือทำให้วัตถุลอยได้
ถ้าเราหย่อนวัตถุลงไปในน้ำจะจมลงแต่ถ้าเราเติมเกลือลงไปวัตถุสามารถลอยตัวอยุ่ได้ เช่นที่ทะเลสาบเดดซี(จอร์แดน) มีความเข้มข้นของเกลือมากกว่าทะเลที่อื่นๆ ถึง 7 เท่า คนจึงลอยอยุ่ได้
ปริมาณเหลือในร่างกายของคนเรา

ร่างกายของคนเรามีเกลือละลายปนอยุ่ในเลือดและน้ำเหลืองด้วยสัดส่วนความเข้มข้นต่างๆเพื่อช่วยรักษาปริมาณน้ำในร่างกายให้เหมาะสม นอกจากนี้ในน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับและตับอ่อน ก้มีเกลือปะปนอยุ๋ด้วยเพื่อช่วยในการย่อย ถ้าร่างกายขาดเกลือจะรุ้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยและอาจจะป่วยได้ และในทางตงกันข้ามถ้ามีเกลือมากเกินไปจะไปทำให้สมดุลในร่างกายเปลี่ยนไป ดังนั้นใน 2 วันควรจะรับประทานเกลือประมาณ 10 กรัมจึงจะเหมาะสม

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ถ่ายพยาธิได้ด้วยทุเรียน




ในเมืองไทยของเรานั้นมีผลไม้ให้ทานกันได้ทั้งปี การรับประทานผลไม้นอกจากจะได้รับวิตามินต่างๆที่เปงประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ผลไม้บางอย่างยังเป็นสมุนไพรได้อีกด้วย

                 ทราบกันไหมว่าผลไม้ชนิดหนึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว จะเป็นตัวช่วยถ่ายพยาธฺให้กับร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี ผลไม้ที่มีสรรพคุณดังกล่าวนี้นั่นก็คือ ทุเรียนเพาะในเนื้อทุเรียนจะมีสารกำมะถันประกอบอยุ๋เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะสังเกตได้จากกากเวลาที่เรารับประทานทุเรียนจะรุ้สึกมีอาการร้อนๆภายในร่างกายของเรานั้นเอง และวิธีการรับปะมานทุเรียนเพื่อการถ่ายพยาธินั้นก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่คุณตื่นเช้า เวลาประมาน05.00น. แล้วรับประทานทุกเรียนที่เตรียมไว้ขนาดลูกย่อมๆประมาณครึ่งลูก เมื่อรับประทานทุกเรียนหมดแล้วให้ดื่มน้ำอุ่นๆตามไปด้วยมากๆ หลังจากนั้นความร้อนในสารกัมมะถันธรรมชาติ และกากในจากทุเรียนก็จะดำเนินการออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ในร่ายกายของเรา และด้วยวิธีนี้เป็นการช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ที่คั่งค้างไว้ให้ออกมาได้อีกด้วย หรือาจจะเรียนว่า การดีท็อกซ์ด้วยทุเรียน



วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ที่มาของการพับนก 1000 ตัว





                         การพับนกกระเรียนให้ครบ 1000 ตัวเป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่า ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 ก่อนประเทศญี่ปุ่นจะยอมแพ้สครามสหรัฐ ได้มาทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางซากิจนราบคาบ เป็นผลทำให้ประชาชนชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีเด้ยผู้หญิงที่ชื่อว่าซาดาโกะ ซาซากิ รอดชีวอตมากจากระเบิดนิวเครียร์ที่เมื่อฮิโรซิมามาได้หลังจากนั้นต่อมาเธอต้องป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจึงต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล วันหนึ่งเพื่อนของเธอมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ได้เล่าตำนานเรื่องนกกระเรียนให้เธอฟังว่าแต่ก่อนชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่านกกระเรียนเป็นนกศักดิ์สิทธิ์

เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข ความหวัง ความโชคดี และสุขภาพอายะที่ยืนยาว หากใครพับนกกระเรียนได้ครบ 1000 ตัวสำเร็จ จะเป็นผู้โชคดีและมีอายะที่ยืนยาว เพื่อนของเธอจึงแนะนำให้ฌธอพับนกกะเรียนเพื่อจะได้หายป่วย ระห่วงที่เธอรักษาตัวอบุ่ที่โรงพยาบาลซาดาโกะก็เริ่มพับนกกระเรียนไปเรื่อยๆจนกระทั่งอาการดีขึ้นๆและสามารถกลับบ้านได้ เธอจึงมีกกำลังใจที่จะพับนกกระเรียนต่อให้ครบ แต่แล้วอาการของเธอก็กลับมาทรุดหนักและทำให้เธอชีวิตซึ่งในขณะนั้นเธอสามาระพับนกได้แล้ว 644 ตัวเพื่อนๆต่างพากันเสียใจในการจากไปของเธอ จึงช่วยกันพับนกต่อให้ครบ 1000 ตัวแล้วใส่ไปในโรงศพของซาดาโกะ




หลังจากนั้นต่อเรื่องของเธอก็ได้เล่าต่อๆกันไป พร้อมกับความเชื่อเรื่องการพับนกกระเรียน 1000ตัวก้แพร่หลายและเป็นที่รุ้จักไปทั้วจนกระทั้งปัจจุบัน


วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จอ touch screen ใช้ง่ายแต่เชื้อโรคเพียบ




อย่านอนใจว่าไฮเทค จนลืมตรวจเช็คความสะอาดจนไม่สบาย              คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าคะที่มีอุปกรณ์ไฮเทคแบบ touch screen ติดตัวไว้เท่ห์เสมอๆ แต่รู้ไหมคะว่า การที่คุณพกของเหล่านี้แล้วไม่ดูแลให้ดี มันก็เหมือนคุณพก “ส้วม” ไปไหนมาไหนด้วยไม่มีผิด เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจากทิมโมธี จูเลียน นักศึกษาปริญญาเอกแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่กล่าวว่า จากผลการศึกษาพบว่า หน้าจอทัชสกรีนเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคดีๆ นี่เอง เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่า ก่อนที่ไปสัมผัสหน้าจอ มือและนิ้วของคุณไปสัมผัสกับสิ่งสกปรกอะไรมาบ้าง และคนโดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีอนามัยมากพอที่จะล้างมือตลอดเวลา หรือล้างมือก่อนมาใช้จอทัชสกรีน เขายังกล่าวเสริมให้น่าตกใจอีกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนำสิ่งสกปรกมาสัมผัสหรือสะสมไว้ที่หน้าจอ เชื้อโรคประมาณ 30% จะติดไปกับนิ้วมือคุณทันทีที่คุณแตะจอทัชสกรีน และมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่เชื้อโรคเหล่านี้จะเข้าสู่ร่างกายทางปาก จมูก และดวงตา เพราะคุณอาจใช้นิ้วขยี้ตา จับปากหรือเกาจมูกโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยของอังกฤษระบุว่า โทรศัพท์มือถือที่เราต้องนำมาใช้แนบแก้มแนบหูกันตลอดเวลา ก็มีสิ่งสกปรกมากกว่าที่คันกดชักโครกในห้องน้ำชายถึง 18 เท่าเลยทีเดียว โดยเฉพาะเชื้อโรคที่มีชื่อว่า E. coli และ Staphyloccocus aureus ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง สิว ฝีหนอง และถ้าได้รับเชื้อมากๆ ก็ทำให้ปอดอักเสบ หรือติดเชื้อในกระแสเลือดได้เลยทีเดียว
น่ากลัวใช่ไหมล่ะคะ แค่อุปกรณ์ไฮเทคที่ใช้กันเพลิน จนเราลืมไปว่า มันก็สามารถสะสมเชื้อโรคได้เช่นกัน แต่เขาก็มีวิธีแนะนำในการใช้ และทำความสะอาดอุปกรณ์ทัชสกรีนมาเพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อโรคด้วยค่ะ ลองไปดูกันเลย
1. ใช้นำยาทำความสะอาดหน้าจอทัชสกรีนโดยเฉพาะ ทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง หรือเมื่อเห็นว่าหน้าจอมีคราบสิ่งสกปรกติดอยู่
2. ไม่ควรใช้อุปกรณ์ทัชกรีนร่วมกับผู้อื่น เพราะอุปกรณ์อาจจะได้รับเชื้อโรคจากคนอื่น หรือแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นได้ แต่หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน ก็ควรทำความสะอาดทุกครั้งหลังจากใช้เสร็จ
3. ควรล้างมือทั้งก่อนและหลังใช้อุปกรณ์ทัชสกรีน อาจจะยุ่งยากไปหน่อย แต่ก็สามารถช่วยยับยั้งการแพร่เชื้อโรคได้ดีที่สุด
4. ระหว่างใช้อุปกรณ์ทัชสกรีน ไม่ควรใช้มือ หรือนิ้วมาสัมผัสร่างกาย ในส่วนที่เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เช่น ตา ปาก จมูก รูหู หรือผิวหนังบริเวณที่มีบาดแผล
5. หลังจากใช้อุปกรณ์เสร็จแล้ว ควรเก็บในที่มิดชิด เช่น ใส่กระเป๋าเก็บอุปกรณ์โดยเฉพาะ ไม่ควรวางไว้ในที่โล่ง หรือที่ที่เชื้อโรคจะสามารถแพร่กระจายมาสู่อุปกรณ์ของเราได้
ไม่ใช่แต่อุปกรณ์ทัชสกรีนหรือเครื่องมือทันสมัยเท่านั้นค่ะ สิ่งของรอบตัวที่เราอาจจะต้องใช้ร่วมกับคนอื่น เราก็ต้องระวังไว้เช่นกัน เช่น ราวบันได ปุ่มกดในลิฟท์ เก้าอี้นั่งบนรถเมล์หรือรถไฟฟ้า สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคที่เรามักจะไปสัมผัสโดยไม่รู้ตัวเช่นกันค่ะ และถึงแม้เราจะตามไปทำความสะอาดของพวกนี้ไม่ได้ แต่ให้รักษาความสะอาดของตัวเราเองเป็นหลักก็พอค่ะ




วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

มะเขือส้มหรือมะเขือเทศ




           มะเขือเทศ (ชื่อวิทยาศาสตร์Lycopersicon esculentum Mill.) เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด


ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ปกคลุม ใบเป็นใบประกอบ ออกสลับกัน ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กรียาว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อยมีขนอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำมีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีดา พันธุ์โรมาเรดเพียร์ เป็นต้น
ชื่ออื่น : มะเขือ (ทั่วไป) บะเขือส้ม (ภาคเหนือ)






ประโยชน์ 
-มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้
-มะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ ไลโคปีน ที่มีคุณสมบัติสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หากทานมะเขือเทศ 10 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีบีตา-แคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก ที่มะเขือเทศมีรสชาติอร่อยนั้น เพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อกลูตามิคสูง กรดอะมิโนนี้เองเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ทั้งยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย
-รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม
ในผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง มีกลดมาลิค กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค (Glutamic) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารบีตา-แคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น
มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมี วิตามินพี (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย